นกกระเรียนตอบแทนคุณนิทานพื้นบ้านในประเทศญี่ปุ่น เป็นเรื่องราวของหญิงสาวทอผ้าเพื่อตอบแทนให้กับชายผู้มีพระคุณ นิทานเรื่องนี้เป็นหนังสือสำหรับการเรียนในระดับประถมศึกษาหนังสือนิทานที่สอดแทรกคำสอนเพื่อปลูกฝังให้กับเด็ก ๆ ที่ได้ฟังหรือได้อ่านในด้านของการทำความดี ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง การตอบแทนคุณ และการรักษาคำพูด Animal Mystery ฉบับนี้จึงอยากนำเรื่องราวดังกล่าวมาเล่าขานอีกครั้ง เพื่อให้ผู้อ่านได้สัมผัสถึงกลิ่นอายสมัยเด็กกับนิทานย้อนวัยเช่นนี้ นกกระเรียนตอบแทนคุณได้ถูกเล่าขานไว้ว่า กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วมีชายหนุ่มฐานะยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กกลางป่า เขามีอาชีพตัดไม้และหาของป่า ในวันหนึ่งที่เขากำลังหาของป่าอยู่นั้นก็ได้มีนกกระเรียนตกลงมาตรงหน้าของชายหนุ่ม นกกระเรียนได้รับบาดเจ็บที่ปีกข้างขวามีลูกธนูปักอยู่ที่ปีกของมันเมื่อชายหนุ่มเห็นเข้าจึงรักษานกกระเรียนตัวนี้ โดยดึงธนูที่ปักอยู่ออกทำแผลให้จนหายดีและนกกระเรียนก็บินจากเขาไป ในค่ำวันเดียวกันนั้นชายหนุ่มกลับมาที่บ้านไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเมื่อเปิดออกก็ได้พบกับหญิงงามเธอเป็นคนเคาะประตูนี้ ในมือของเธอมีถุงผ้าใบใหญ่เธอเงยมองหน้าชายหนุ่มและกล่าวว่า “ฉันขอฝากตัวเป็นภรรยาของคุณ ฉันจะดูแลคุณให้ดีที่สุด” และทั้งสองก็ได้เป็นสามีและภรรยากันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เย็นวันหนึ่งระหว่างที่หญิงสาวกำลังนั่งทานข้าวกับสามีของเธอเธอก็ได้เอ่ยของสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งขึ้นมา“คุณช่วยสร้างห้องทอผ้าให้ฉันได้ไหมคะ และระหว่างที่ฉันทอผ้าคุณห้ามเข้ามาโดยเด็ดขาดนะ” และหญิงสาวก็เข้าไปอยู่ในห้องโดยไม่เปิดประตูออกมาอีกเลย จากนั้น 7 วัน เธอทอผ้าเสร็จก็นำผ้าทอมาให้สามีไปขายที่ตลาดและเธอก็กลับเข้าไปในห้องเพื่อทอผ้าผืนใหม่อีกครั้ง หญิงสาวหายเข้าไปในนั้นเป็นระยะเวลานานไม่มีแม้แต่เสียงของเธอที่เล็ดลอดออกมา กลับมีแต่เสียงทอผ้าที่ดังอยู่อย่างนั้น สุดท้ายสามีของเธอก็อดใจที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้จึงเปิดประตูเข้าไปในห้องทอผ้าของหญิงสาวและภาพที่เขาเห็นตรงหน้ากลับกลายเป็นนกกระเรียนที่เขาเคยให้การช่วยเหลือไว้กำลังใช้ขนของตัวเองทอผ้าอยู่ หญิงสาวเอ่ย “คุณจำฉันได้ไหมคะ นกกระเรียนที่คุณเคยช่วยเหลือฉันมาเป็นภรรยาของคุณเพื่อแทนคุณที่คุณเคยช่วยเหลือฉันไว้ ฉันตั้งใจว่าจะอยู่ดูแลคุณตลอดไปหากแต่คุณผิดคำพูดที่เคยให้ไว้ คุณได้เห็นร่างที่แท้จริงของฉันแล้วเราคงอยู่ด้วยกันได้เพียงเท่านี้ ลาก่อนนะคะ” เธอได้มอบผ้าทอผืนสุดท้ายให้กับสามีของเธอและหญิงสาวก็บินหนีจากชายหนุ่มไปไม่มีวันกลับมา และนี่ก็เป็นเรื่องราวตำนานนิทานพื้นบ้านนกกระเรียนตอบแทนคุณหนึ่งในนิทานวัยประถมที่ใครหลาย ๆ คนอาจจะเคยผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง หากได้พูดถึงนิทานในวัยเด็กแล้วนั้น ไฮไลท์สำคัญเมื่ออ่านจบก็มักจะเป็นการได้อ่านข้อคิดของนิทานที่ด้านหลังของเล่มในทุก ๆ ครั้ง สนุกและเพลิดเพลินกับเนื้อหาและยังได้ข้อคิดปลูกฝังจากกิจกรรมโปรด เมื่อกาลเวลาผ่านไปจึงพูดได้ว่านิทานเรื่องโปรดได้สร้างความสุขให้เมื่อครั้งยังเป็นวัยเยาว์ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : http://web-japan.org/kidsweb/folk/tsuru/index.html

ใครจะรู้ว่าน้องหมาที่บ้านจะเอนจอยกับเพลงที่เราเปิดล่ะใช่ไหม เคยสงสัยกันบ้างไหมตอนที่เสียงรถพยาบาลขับผ่านหรือตอนมีเสียงฟ้าร้อง น้องหมาจะมีรีแอคชั่นกลับไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่าตัวเขามีสัญญาณการรับเสียงที่ดี แล้วเสียงแบบไหนกันล่ะที่พวกเขาจะปลาบปลื้ม  โดยปกติแล้วน้องหมาจะมีการรับรู้ที่คลื่นความถี่ต่ำที่ 16 ถึง 20 Hz และคลื่นความถี่สูงที่ 70,000 ถึง 100,000 Hz เพราะแบบนี้หัวของน้องหมาถึงมีขนาดเล็ก เพราะยิ่งหัวขนาดใหญ่เท่าไหร่ การได้ยินก็จะน้อยลงเท่านั้น และยิ่งถ้าเสียงจำพวกเสียงโน้ตสูง ๆ เช่น เสียงเตือนไฟไหม้ที่เราได้ยิน น้องหมาจะไม่ชอบเอามาก ๆ  จากผลงานวิจัยในปี 2002 พบว่าน้องหมาเอนจอยกับเสียงเพลงจริง ๆ โดยเฉพาะ ‘เสียงที่ทำให้ผ่อนคลาย’ เช่น เสียงเพลงคลาสสิค ซึ่งมีส่วนช่วยลดความวิตกกังวลและอาการตื่นตระหนกตกใจได้ เสียงเพลงของเมทัล แร็ป หรือเพลงที่ฟังแล้วชวนโดด น้องหมาจะไม่ชอบเช่นกัน ในงานวิจัยปี 2015 มีการทดลองให้น้องหมาฟังเพลง Sonata No.14 in C-sharp minor และ Sonata No.16 ใน C major ของโมสาร์ท ปรากฎว่าผลไปในทางเชิงบวกมากต่อการตอบสนองของน้องหมา

ไม่ว่าคนหรือสัตว์ต่างก็ต้องการ การดูแลรักษาทั้งร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณเพื่อลดความทุกข์ทรมานของโรคร้ายที่คร่าชีวิตของสิ่งที่เรารักไป เรา PetHipster จะมาบอกเล่าถึงวิธีการรักษารูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า การดูเเลเเบบประคับประคอง (Palliative Care) ทางสัตว์แพทย์ว่ามีข้อมูลอย่างไรการดูเเลแบบประคับประคองในในสัตว์เลี้ยงจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเมื่อสัตว์เลี้ยงมีอายุขัยมากขึ้น ช่วงป่วยระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาให้ขาดได้ อาทิ โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็ง ซึ่งการดูแลแบบประคับประคองสามารถดูแลควบคู่ไปกับการรักษาหลัก เนื่องจากวิธีการเลี้ยงดูและการรักษาที่เหมาะสมทำให้อายุขัยของสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันมีอายุขัยที่มากขึ้น การประคับประคองจะเข้ามามีส่วนให้ผู้ดูแลมีความเข้าใจในตัวโรคมากขึ้น เข้าใจการรักษา เข้าใจผลประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดกับโรค และช่วยตัดสินใจในการรักษาได้มากขึ้น โดยการรักษาจะคำนึงถึงความปราถนาของสัตว์เลี้ยงและผู้ดูแลหรือครอบครัวร่วมด้วยเสมอ การดูแลแบบประคับประคองสามารถทำได้ที่บ้านเมื่อผู้ดูแลหรือครอบครัวได้รับคำแนะนำและวิธีรักษาจากสัตว์เเพทย์ และจะมีการเช็คอาการหรือเข้าเยี่ยมดูแลตามความเหมาะสม หรือหากไม่สามารถดูแลสัตว์เลี้ยงที่บ้านได้ เราก็สามารถให้ทางโรงพยาบาลซึ่งก็จะมีแผนการรักษาให้เหมาะกับสัตว์เลี้ยงแต่ละตัวและทางครอบครัวและผู้ดูแลก็สามารถเข้าเยี่ยมได้การดูแลควบคู่กับการประคับประคองอาจจะใช้ยาหลายประเภทหรืออาหารเสริม (nutraceuticals) เพื่อต่อสู้กับอาการเจ็บปวย การดูแลด้วยกายภาพบำบัดฟื้นฟู การฝังเข็มเพื่อคลายจุดกล้ามเนื้อและลดการทำงานของระบบประสาทที่ผิดปกติ การใช้สมุนไพร เป็นต้นอ้างอิง VCA Animal Hospital:Know Your Pet

ก็อบลิน เชื่อกันว่าเป็นสัตว์ประหลาดในตำนานที่มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์และกระจายอยู่หลายทวีป มีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกันออกไป และมีเรื่องเล่ากล่าวขานมากมาย บ้างก็ว่า ก็อบลิน เป็นสัตว์ประหลาดที่มีนิสัยดี เป็นมิตร บ้างก็ว่าชั่วร้ายจนเป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านแต่ที่ก็อบลินมีเหมือนกันเลยนั้นคือ “มีพลังมนต์ขลัง” Animal Mystery ฉบับนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ ทุกเกพี 도깨비 ก็อบลิน แห่งประเทศเกาหลีทุกเกพี เป็นสัตว์ประหลาดที่ปรากฏอยู่ในนิทานพื้นบ้านของประเทศเกาหลี มีรูปร่างได้หลายแบบแต่ส่วนใหญ่มักจะมีรูปร่างเป็นยักษ์ที่มีลำตัวใหญ่สีแดง มีเขาอยู่บนศรีษะ ตาโปน มีฟันที่ยื่นยาวและแหลมคม บนร่างกายมีขนกรงเล็บยาว ถือไม้ตะบอง  ทุกเกพีเป็นวิญญาณที่มีแรงปราถนาอันแรงกล้าจนกลายมาเป็นวิญญาณที่แข็งแกร่ง ทุกเกพีชอบที่จะสื่อสารกับมนุษย์ ชอบเล่นตลกพิเรนทร์กลั่นแกล้งแต่บางทีก็มักที่จะช่วยเหลือผู้คน ทุกเกพี ก่อสร้างทั้งความดีและความเลวร้าย จึงมีทั้งด้านที่ดีและไม่ดีนั่นเอง นอกจากนั้นทุกเกพีเองก็เป็นที่นับถือบูชาของคนเกาหลี ยิ่งในพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเล เพราะทุกเกพีนั้นเป็นผู้ครอบครองและมีอำนาจควบคุมสัตว์ทะเลทำให้ชาวประมงนับถือบูชา และเชื่อว่าทุกเกพีจะรับฟังคำอธิฐานให้จับปลาได้เยอะ ๆ และก็เป็นดั่งคำปราถนา ในตำนานนิทานพื้นบ้านของประเทศเกาหลี ทุกเกพี สามารถให้พรแก่ผู้ที่กระทำความดีและลงโทษคนชั่วได้ ผู้คนอธิษฐานขอพรสิ่งใดก็มักจะสร้างปาฏิหาริย์ให้พรนั้นเป็นจริง สามารถสั่งฟ้าเรียกลมฝน หรือหากอารมณ์ดีนั้นก็สามารถทำให้ดอกไม้บานได้ หรือหากมีอารมณ์เศร้าก็จะทำให้ฝนตกเวลาโกรธก็จะก่อเกิดพายุ อีกทั้งทุกเกพียังเป็นที่หวาดกลัวของภูตผีอีกด้วย ทุกเกพีเป็นเรื่องเล่าขานในนิทานพื้นบ้านเพื่อสอนให้เด็ก ๆ ทำความดีและหวาดกลัวต่อความชั่วนั่นเอง

ช่วงเดือนพฤษภาคมแบบนี้อากาศภายนอกบ้านยังคงร้อนอยู่ใช่ไหม?น้องหมาที่เลี้ยงนอกบ้านหรือเลี้ยงในบ้านได้รับน้ำเพียงพอหรือยัง?บางครั้งเราอาจจะมองข้ามปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของสัตว์เลี้ยงของเราอย่างเรื่องของปริมาณน้ำและความต้องการน้ำของพวกเค้าPetHipster เลยจะมาสรุปประเด็นเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ กันทำไมน้ำจึงสำคัญกับพวกเค้าน้องหมาสามารถสูญเสียน้ำได้หลายทางไม่ว่าจะเป็นการหอบ หายใจ ขับถ่ายหรือการระเหยความร้อนผ่านอุ้งเท้าก็ตาม น้ำจึงสำคัญในการที่ต้องได้รับต่อเนื่อง เพราะเป็นตัวช่วยที่สำคัญของเซลล์ในการนำพาสารอาหารเข้าสู่ร่างกายนอกจากนี้น้ำยังเป็นตัวช่วยสำคัญในกระบวนการต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะการหมุนเวียนของเลือด ซึ่งน้ำจะช่วยขับสารพิษและช่วยขนส่งออกซิเจน น้ำช่วยลดอุณหภูมิของร่างกายและการขาดน้ำยังส่งผลให้ขาดแร่ธาตุที่สำคัญอย่างโซเดียม, คลอไรด์และโพสแทสเซียม ที่ช่วยควบคุมความสมดุลของ Ph, ช่วยเรื่องระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาท รวมถึงการเคลื่อนย้ายของเซลล์เหมือนที่กล่าวไปน้องหมาขาดน้ำสังเกตอย่างไรได้บ้างอาการอ้วก, ท้องเสีย, โรคลมแดดหรือมีไข้ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดน้ำได้ ถ้าอาการน้องหมาหนักมากแนะนำให้พาไปพบสัตวแพทย์จะดีที่สุดแต่เบื้องต้นเราสามารถเช็คสุขภาพของเค้าว่าขาดน้ำได้หรือเปล่าด้วยการลองจับยืดผิวหนังบริเวณไหล่อย่างเบามือ ถ้ายืดปล่อยแล้วคลายลงที่เดิมเร็วถือว่าปกติ แต่ถ้าคลายลงสภาพเดิมช้าอาจเป็นสัญญาณขาดน้ำได้หรืออีกวิธีคือเช็คที่เหงือกลองกดที่เหงือกของเค้าดูขณะที่กดเหงือกแล้วปล่อย เหงือกจะเป็นสีขาวไม่กี่วินาทีและเปลี่ยนเป็นสีชมพูเหมือนเดิม ถ้าเร็วแสดงว่าปกติดี แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นสีชมพูเหมือนเดิมช้าอาจจะเกิดภาวะขาดน้ำได้เช่นกันจะป้องกันภาวะขาดน้ำได้อย่างไรตามทฤษฎีแล้วน้องหมาจะต้องการน้ำประมาณ 1-2 ออนซ์ (ประมาณ 28 มิลลิลิตร) ต่อน้ำหนักตัว 1 ปอนด์ต่อ 1 วัน ถ้าเป็นลูกสุนัขอาจจะต้องการประมาณครึ่งถ้วยทุกๆ 2 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเราต้องคอยสังเกตการกินน้ำและหมั่นเติมน้ำสะอาดบ่อยๆ จะดีมาก ในน้องหมาบางตัวกินน้ำน้อยหรือต้องคอยกระตุ้นก่อนถึงจะกิน วิธีแก้คือลองวางชามน้ำไว้ใกล้แหล่งที่เค้าชอบเล่นหรือใกล้ชามข้าว อาจให้รางวัลและชมเชยเค้าตอนกินน้ำ บางคนอาจจะใส่รสชาติกระดูกหรือทำน้ำแข็งให้พวกเค้าเคี้ยวก็ได้ภาวะขาดน้ำไม่ควรเป็นเรื่องที่มองข้ามเลย เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานของน้องหมาในการที่จะใช้ชีวิตกับเราและเล่นสนุกต่อไป บางครั้งภาวะกินน้ำน้อยหรือบางครั้งกินมากเกินจนผิดปกติอาจเป็นสาเหตุของโรคที่เรามองไม่เห็นด้วยตาได้เพราะฉะนั้นการหมั่นสังเกตและพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคหรือรับคำแนะนำดีๆจึงเป็นตัวเลือกที่ดีมากที่จะช่วยไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่สายเกินแก้ได้แหล่งที่มาข้อมูล: www.akc.org/expert-advice/health/puppy-drinking-enough-water/https://www.akc.org/expert-advice/health/warning-signs-dehydration-dogs/

ในยุคที่สิ่งต่าง ๆ ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี หรือ AI ถึงขนาดที่ว่ามีน้องหมาที่ถูกสร้างเป็นหุ่นยนตร์ AI กันเลยทีเดียว นั่นก็คือ “AIBO” นั่นเอง เรามาทำความรู้จักกับเจ้า AIBO กันหน่อยดีกว่าเจ้า AIBO เนี่ย ถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท SONY ตั้งแต่ปี 1999 นู่นเลย แต่ก็มีเหตุผลให้พับเก็บโครงการเจ้า AIBO ในปี 2006 และเมื่อปี 2021 ทาง SONY ก็ได้ส่งเจ้า AIBO Robot Dog ERS-1000 มากถึง 100 ตัว ไปยังสถาบันการแพทย์ชั้นนำของญี่ปุ่น เพื่อที่จะดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ที่ญาติไม่สามารถเข้ามาเยี่ยมได้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะทำให้พวกเขาเกิดโรคซึมเศร้าและช่วยแบ่งเบาความเครียดได้ การกลับมาของ SONY กับเจ้า AIBO ครั้งนี้เรียกได้ว่า ปังสุด ๆ  นั่นก็เพราะว่า เจ้า AIBO รุ่นล่าสุดนี้ มีความสมจริงมากขึ้น และยังสามารถตอบสนองต่อคนและสิ่งรอบข้างได้ดีมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย จุดเด่นของเจ้า AIBO นั่นก็คือ สามารถแสดงแววตาและใบหน้าที่สามารถแสดงอารมณ์ได้ นอกจากนี้เจ้า AIBO ยังสามารถจดจำเจ้าของและสามารถปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของเจ้าของได้อีกด้วย สามารถวิ่งไปรับเมื่อเรากลับมาบ้านได้ สามารถรับรู้ถึงคำชมได้ สามารถวิเคราะห์และสังเกตรอยยิ้มของมนุษย์ได้อีกด้วย โดยโปรแกรมที่ SONY ใส่เข้าไปในตัวของ AIBO นั่น จะดึงเอาข้อมูลลักษณะนิสัยของสุนัขจริง ๆ เข้ามาใส่ในตัวของเจ้า AIBO และให้เจ้า AIBO ได้คิดลักษณะนิสัยที่เป็นของตัวเองได้ เพื่อที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเจ้าของได้หรือเรียกง่าย ๆ ว่า เจ้า AIBO Robot Dog ทุกตัวที่ถูกผลิตขึ้น จะมีลักษณะนิสัยที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง Credit : us.aibo.com/ , thairath.co.th

อาการที่น้องแมวขาดน้ำนั้น เป็นอาการที่อันตรายต่อน้องแมวอย่างมาก เพราะ น้ำ เป็นส่วนสำคัญในการรักษาสมดุลของร่างกายของน้องแมว การที่น้องแมวได้รับน้ำในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยส่งผลดีต่อร่างกายของน้องแมวโดยตรง คือ การรักษาอุณภูมิของร่างกาย ช่วยระบบการหมุนเวียนของโลหิต อีกทั้งเป็นส่วนสำคัญในการขจัดของเสียออกจากร่ายกายได้อีกด้วยซึ่งโดยทั่วไปน้องแมวเป็นสัตว์ที่กินน้ำน้อยโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าน้องแมวกินน้ำน้อยจนเกินไปอาจจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ ซึ่งสาเหตุที่จะอาจจะก่อให้เกิดขึ้นได้นั้นมีหลายปัจจัย คือ น้องแมวไม่กินอาหารหรือน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย, น้องแมวอยู่ในอุณภูมิที่ร้อนจนเกินไป, อาเจียน หรือ มีภาวะท้องเสีย ก็อาจจะทำให้น้องแมวขาดน้ำได้เช่นกัน  You Know What ฉบับนี้จึงอยากจะมาแนะนำอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้น้องแมวกินน้ำได้ง่ายขึ้นแถมยังได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายน้องแมวอีกด้วย คือ อาหารเปียก เพราะในอาหารเปียกนั้นมี น้ำเป็นส่วนประกอบไม่น้อยกว่า 50 % นับเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้น้องแมวสามารถได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น อาหารเปียก OKIKO มีหลากหลายเนื้อวัตถุดิบพรีเมียมให้เลือกสรร น้องแมวจะสามารถเพลิดเพลินไปกับรสชาติที่แสนอร่อยและเนื้อสัมผัสที่น้องแมวชื่นชอบ ประกอบไปด้วยGRAVY สูตรที่เหมาะสำหรับน้องแมวที่ไม่ค่อยทานน้ำหรือทานน้ำน้อย ส่วนผสมของ GRAVY นั่นมีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อมด้วยเนื้อปลา และ Topping ต่าง ๆ ที่เล็กพอดีคำ ซึ่งทำให้น้องแมวทานง่าย สามารถกินได้ทั้งน้ำและเนื้อพร้อม ๆ กัน SOFT JELLY ขึ้นชื่อว่า Soft แล้วนั้นเนื้อนุ่มไม่แข็งไม่เป็นก้อนสามารถทานได้ทันที โดยไม่ต้องหั่น หรือทำให้เป็นชิ้นเล็ก ๆMOUSSE สูตรสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ เนื้อสัมผัสเป็นเนื้อมูส ละเอียด นุ่ม หอม ส่วนผสม คือ นมแพะ เพื่อช่วยการเจริญเติบโต และเพิ่มความน่ากิน ส่วนแม่แมวก็ทานได้เช่นกัน เพราะสูตรนี้มีโปรตีนที่สูงกว่าแมวโตเต็มวัย อาหารเปียก OKIKO ไม่แต่ง สี กลิ่น และวัตถุกันเสียใดๆ อีกทั้งที่สำคัญ คือ ไม่เติมเกลือ ไม่เค็ม ซึ่งหมดความกังวลสำหรับเหล่าทาสแมวอย่างพวกเรา เกี่ยวกับเรื่องโรคต่างๆที่ตามมาของน้องแมวไปได้เลย สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่สนใจอาหารเปียก OKIKO ก็สามารถเข้าไปสอบถามข้อมูลได้ที่ FB: OKIKO Thailand

สัตว์หลายชนิดหากเรามานั่งคำนวนเวลาเดินทางสะสมแล้วล่ะก็อาจทำให้คนหลายคนถึงกับอายไปเลย เพราะสัตว์ที่มีขนาดยักษ์จนไปถึงเจ้ามดตัวเล็กนั้นต่างเดินทางไกลแสนไกล อีกทั้งยังเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดอีกด้วย บ้างก็ด้วย เท้า กีบ ปีก หรือกระทั่งครีบ ที่เดินทางข้ามฟ้า ข้ามทะเล และภูเขา ความสูงกว่าพันเมตร หรือ ลึกกว่าพันฟุต สัตว์บางตัวระยะเดินทางเท่ากับไปกลับระหว่างดวงจันทร์กับโลกเลยในช่วงชีวิตของพวกเขา และบางตัวก็ทวีคูณเข้าไปอีกด้วยซ้ำ เหตุผลการเดินทางนั้นก็มาจากสัญชาตญาณการเปลี่ยนถิ่นฐาน การหาอาหาร การผสมพันธุ์ สัตว์บางตัวนั้นก็ใช้ชีวิตไปกับการเดินทางกว่า 90% ของช่วงชีวิต5. มด (Ants)ระยะเดินทางเฉลี่ยต่อปี : 10550 กิโลเมตร เจ้ามดคือแชมเปี้ยนตัวจิ๋วที่เดินทางได้เยอะสุด ๆ ไม่ใช่เพียงแค่มดสามารถยกของที่หนักกว่ามันได้ 20 เท่าแต่มันยังสามารถเดินทางรอบโลกด้วยด้วยขาของมัน พวกมันเดินทางเฉลี่ยถึง 263 กิโลเมตรต่อ 40 วัน4. ฉลามขาวยักษ์ (Great White Shark)ระยะเดินทางเฉลี่ยต่อปี : 11104 กิโลเมตร ฉลามขาวนั้นเป็นสัตว์ที่เดินทางอย่างว่องไวเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ ในปี ค.ศ. 2004 ได้ค้นพบว่าฉลามขาวได้เดินทางจากแอฟริกาไปออสเตรเลียและกลับมาแอฟริกาอีกครั้งทุก ๆ ปี เนื่องจากการหาอาหารและการผสมพันธุ์คือแรงจูงใจในการเดินทางของมัน3. เพนกวินอาเดลี (Adelie Penguins)ระยะเดินทางเฉลี่ยต่อปี : 18000 กิโลเมตร ถึงแม้พวกมันจะบินไม่ได้ แต่ก็ไม่หวั่นที่จะเดินทางไกล เพราะเจ้าสัตว์พวกนี้ต้องเดินทางตามเข็มทิศดวงอาทิตย์ซึ่งมีระยะทาง 18000 กิโลเมตร และต่างเดินทางร่วมกันกว่าพันตัว2. วาฬหลังค่อม (Humpback Whale)ระยะเดินทางเฉลี่ยต่อปี : 22000 กิโลเมตร เจ้าวาฬจะเดินทางช่วงหน้าหนาวไปน่านน้ำเขตร้อนเพื่อให้กำเนิดลูก ๆ ของพวกมันและจะเดินทางต่อไปที่โซนน้ำขั้วโลกละติจูดสูงเพื่อพักผ่อน วาฬหลังค่อมนั้นเป็นสัตว์ที่เดินทางช้า ความเร็วของพวกมันแค่เพียง 4.8 - 14 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลองนึกภาพว่าการเดินทางกว่า 22000 กิโลเมตรต้องทรหดแค่ไหน1.  นกนางนวลอาร์กติก (Artic Tern)ระยะเดินทางเฉลี่ยต่อปี : 71000 กิโลเมตร นกนางนวลอาร์กติกนั้นกลายเป็นสัตว์ที่เป็นตัวแทนของการจำศีล อายุขัย 30 ปีของมัน ได้เดินทางไป ๆ มา ๆ มีระยะทางมากกว่าดวงจันทร์ถึงสามเท่า! การเดินทางของมันคือชีวิต เพราะพวกมันต้องหนีพายุ บางทีมันใช้เวลาพักผ่อนเป็นเดือนระหว่างทาง เจ้านกพวกนี้เดินทางกว่า 2414016 กิโลเมตรในทั้งชีวิตของพวกมัน

บากุ สัตว์ประหลาดผู้พิทักษ์ฝันร้ายแห่งประเทศญี่ปุ่นบากุ เป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดที่นับได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดผู้แสนดีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ประหลาดแห่งความดี ถึงแม้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่น่ากลัวจนน่าสะเทือนขวัญแต่ภายในนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ตำนานเล่าขานไว้ว่า บากุ สัตว์ประหลาดที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยเหล่าเทพทั้งหลายนั้น ได้นำส่วนประกอบต่าง ๆ ของสัตว์หลากหลายสายพันธุ์มารวมหลอมก่อให้เกิดเป็นบากุ ที่มีร่างกายเป็นหมี หัวเป็นช้าง ดวงตาเหมือนแรด มีหางคล้ายวัวและขาของบากุนั้นเหมือนกับเสือ แต่ทว่าร่างกายจะดูแปลกประหลาดหากใครพบเจออันเป็นต้องร้องกลัวเป็นอย่างแน่ แต่ตรงกันข้ามเพราะสัตว์ประหลาดตนนี้กลับกลายมาเป็นที่รักของเหล่าเทพ และมวลมนุษย์ทั้งหลายเพราะความดีที่บากุนั้นได้กระทำไว้บากุสัตว์ประหลาดผู้แสนดีที่คอยเฝ้าดูแลมนุษย์ในฐานะ “วิญญาณผู้พิทักษ์” ผู้คุ้มครองความฝันในยามที่มนุษย์ถึงคราวหลับไหล บากุมักจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อจับกินฝันร้ายให้กับเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะฝันร้ายที่เกิดขึ้นจากภูตผีปีศาจชั่วร้าย ที่ก่อกวนความฝันแล้วนั้น บากุจะกำจัดไปให้หมดสิ้น หรือแม้แต่ลางร้ายอย่างจานชามอยู่ ๆ ก็เกิดบิ่นแตกหักขึ้นมาโดยมิมีใครทำ กาต้มน้ำส่งเสียงดังเหมือนคนร้องเสียงโหยหวนที่น่ากลัว เสื้อผ้าที่ปรากฏเป็นรอยเลือด หรือหูสุนัขที่ลู่ไปทางข้างหลัง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นการกระทำของปีศาจทั้งหมด หากเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นคนญี่ปุ่นมักจะท่องคาถา 'บากุ คูราเอะ' ซึ่งมีความหมายว่า 'บากุ จงมากินฝันร้ายของข้า' และบากุจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อมาจับกินฝันร้ายให้ทันที ทำให้พวกปีศาจและภูตผีในประเทศญี่ปุ่นหวาดกลัวบากุสัตว์ประหลาดตนนี้เป็นอย่างมาก นอกจากบากุจะเป็นผู้ที่คอยพิทักษ์ฝันร้ายแล้วนั้น บากุเองก็ยังนำพาความโชคดี และสุขภาพที่แข็งแรงมามอบให้กับทุกสถานที่ ทุกหนแห่งที่สัตว์ประหลาดตนนี้ได้ไปเยือนอีกด้วย    ในประเทศญี่ปุ่นจึงมักจะปักตัวอักษรคันจิ 獏 ที่อ่านว่าบากุลงไปบนหมอน เพราะเชื่อกันว่าจะทำให้นอนหลับและฝันดี ตัวอักษรคำว่าบากุนี้จะช่วยปัดเป่าฝันร้ายและขับไล่ความเจ็บป่วยที่เกิดจากปีศาจและภูตผีนั้นได้ผล     สัญลักษณ์นี้เองยังถูกแกะสลักเอาไว้ที่เหนือประตูและเสาวิหาร รวมถึงเสารองรับหลังคาวิหาร เพื่อปกป้องและป้องกันสิ่งชั่วร้าย ซึ่งการที่เหล่ามนุษย์ได้กระทำไว้ทั้งหมดนี้ก็นับได้ว่าเป็นการมอบความเคารพแด่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่า “บากุ” ได้รับความยกย่องให้เกียรติและให้ความนับถือสัตว์ประหลาดผู้แสนดีตนนี้จากชาวญี่ปุ่น

Below the thunders of the upper deep, Far, far beneath in the abysmal sea, his ancient, dreamless, uninvaded sleep, The Kraken sleepethAlfred Lord Tennysonในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ มีอสูรกายหมึกยักษ์ใต้ท้องทะเลในตำนานหลับใหลอยู่ หรือที่ทุกคนรู้จักในนาม คราเคนอสูรกายใหญ่ยักษ์เท่ากับเกาะ ที่ปัจจุบันถูกนำเอามาดัดแปลงเข้าไปในภาพยนตร์ นิยาย หรือแม้กระทั่งเกม ตำนานว่ากันว่ามันเป็นสัตว์ที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์สามารถจิตนาการมันได้และปัจจุบันเรายังไม่รู้ว่าคราเคนเป็นเพียงสัตว์ในตำนานที่ถูกแต่งขึ้นมาหรือว่ามันได้หลับใหลอยู่ใต้ทะเลลึกรอวันขึ้นมาทำลายล้างกันแน่ เพราะมนุษย์เราได้ทำการค้นพบสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศน์ของมหาสมุทรเพียงแค่ 5% เท่านั้นคราเคน คือ อสูรกายยักษ์ใต้มหาสมุทรที่มีรูปร่างคล้ายหมึกกล้วย มีขนาดใหญ่มหึมา ถูกเล่าขานกันมาหลายร้อยปีว่ามันสามารถพังเรือทั้งลำและลากลงไปในมหาสมุทรได้โดยการใช้หนวดอันใหญ่ยักษ์ของมันโอบเรือทั้งลำและดึงลงไป บางตำนานกล่าวว่ามันหลอกล่อโจรสลัดโดยการลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ และเพื่อให้โจรสลัดหลงเชื่อว่ามันคือเกาะหน้าตาประหลาดและเมื่อพวกนักเดินเรือที่เผลอเข้าใกล้ คราเคนจะเขมือบและกลืนกินเรือลำนั้นโดยทันที จึงทำให้ทุกคนกลัวการเดินเรือเพราะกลัวว่าตนเองจะได้เห็นคราเคนเป็นภาพสุดท้ายของชีวิต สัตว์ร้ายตัวนี้ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวแต่ยังสร้างความท้าทายและความเสี่ยงเช่นกันเพราะมีตำนานเล่าไว้ว่าการว่ายของมันจะนำพาฝูงปลามากมายมาด้วยที่หลัง จึงทำให้ชาวประมงหรือนักเดินเรือที่กล้าหาญหลายคนหวังจะเข้าใกล้มันและพยายามจับปลาKraken Originคราเคนได้มีการบันทึกหลักฐานครั้งแรกในหนังสือ “The Natural History of Norway” ที่บรรยายไว้ว่าตัวของคราเคนมีขนาดใหญ่เท่ากับเกาะขนาดย่อม ตัวของมันมีความยาวกว่าครึ่งไมล์และมักจะโจมตีเรือแบบไม่ทันรู้ตัว นอกจากนั้นยังมีบันทึกการเผชิญหน้ากับคราเคนอยู่ไม่บ่อยนักเช่นกัน ทำให้นักเดินเรือตอนเหนือหวาดกลัวสัตว์ร้ายตัวนี้มาก ความเชื่อของคราเคนไม่ได้หยุดเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้น ในวันที่ 2 พฤษจิกายน ปี ค.ศ. 1878 มีชาวประมงได้พบซากปลาหมึกขนาดยักษ์อยู่ไม่ไกลจากฝั่งและได้ทำการวัดขนาดของมัน โดยมีขนาดตัว 20 ฟุต หนวดยาวถึง 35 ฟุต เขี้ยวยาวถึง 4 นิ้ว และเรื่องเล่าการเผชิญกับมันอีกมากมายปี 1930 การโจมตีของหมึกยักษ์เรือบรรทุกน้ำมันนอร์เวย์ 15,000 ตันได้รายงานการโจมตีของหมึกยักษ์สามครั้ง โดยมีครั้งที่รุนแรงที่สุดคือมันได้ว่ายตามเรือของพวกเขาและมันพยายามเอาหนวดมารัดรอบๆ เรือแต่ใบพัดเรือได้ฟันหนวดและตัวของมันทำให้มันหนีไปปี 1960 การต่อสู้ของ หมึกยักษ์และวาฬหัวทุยเดือนตุลาคมปี 1960 พนักงานที่ประภาคารแห่งหนึ่งสองคนได้พบเห็นปลาหมึกและปลาวาฬหัวทุยกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทั้งสองได้กล่าวว่าปลาหมึกได้พุ่งเข้าไปโจมตีปลาวาฬ และได้ใช้เวลาสู้กันถึงครึ่งชั่วโมง และปลาหมึกยักษ์ก็เป็นฝ่ายชนะในที่สุดในปี 1999 นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยหมึกยักษ์และพบว่ามันชอบว่ายตามกระแสน้ำ และชอบอาศัยในอุณหภูมิที่ต่ำมากๆ ซึ่งเหตุผลของความดุร้ายของมันคือการดำรงชีพมันขัดข้อง ทำให้เกิดความเครียด จึงทำให้พบเห็นการโจมตีอยู่บ่อยครั้งสุดท้ายแล้วเรายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคราเคนมีอยู่จริงหรือไม่ แต่ความน่ากลัวของมหาสมุทรนั้นคือ มนุษย์เราสำรวจอวกาศมากกว่ามหาสมุทรเสียอีกเพราะข้อจำกัดหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นหากเราค้นพบสัตว์ร้ายขนาดมหึมาใต้มหาสมุทรลึกก็คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก

ในปัจจุบันมีข่าวมากมายที่สุนัขทำร้ายผู้คนต่างๆ นาๆ แล้วเพราะเหตุใดพฤติกรรมของน้องๆ ถึงได้ก้าวร้าวเยี่ยงนี้ เป็นเพราะสายพันธ์ุ หรือว่า พวกเขาพบเจออะไรกันแน่ น้องๆ นั้นดุร้ายและก้าวร้าวผ่านสายพันธ์ุจริงๆ หรือเปล่า การทำร้ายผู้คนอย่างไร้สาเหตุนั้นไม่ได้ไม่มีเหตุผลอย่างที่คิดBehavior Psychologyสุนัขหรือแม้กระทั่งมนุษย์นั้นไม่ได้ดุหรือก้าวร้าวอย่างไร้สาเหตุ โดยมีหลักการผ่านการทดลองของ Ivan Pavlov นักสรีระวิทยาชาวรัสเซียที่ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับหลักการทางจิตวิทยาผ่านปฏิกิริยาตอบสนอง ที่ทำการทดลองกับสุนัขเพื่อศึกษาการเชื่อมโยงกับสิ่งเร้า ซึ่งการทดลองดังกล่าวคือการ สั่นกระดิ่งและสังเกตพฤติกรรมของสุนัขปรากฏว่าไม่พบอะไร หลังจากนั้นก็ได้นำเนื้อมาให้ หลังจากสั่นกระดิ่งปรากฏว่าสุนัขน้ำลายไหลหลังจากเห็นเนื้อ ในการทดลองครั้งต่อไปได้มีการสั่นกระดิ่งอีกครั้งและพบว่า สุนัขน้ำลายหลังจากได้สิ้นเสียงกระดิ่ง เพราะสุนัขเรียนรู้ว่าหากได้ยินเสียงกระดิ่งจะได้กินเนื้อนั่นเอง ทฤษฎีดังกล่าวนั้นเรียกว่า Classical Conditioning Theory Classical Conditioning Theory ทำให้พบว่าสิ่งเร้าเป็นการทำให้เกิดพฤติกรรมตอบโต้จากการเรียนรู้ หรือกล่าวได้ว่าหากสุนัขได้รับสิ่งเร้าใดๆ ก็จะเกิดปฏิกริยาตอบสนองนั้นๆ เพราะฉะนั้นหากสุนัขเห่าหรือวิ่งไล่กัดคนต่างๆ นั้น อาจจะสื่อได้ว่าสุนัขอาจจะเคยโดนมนุษย์ทำร้ายและตอบสนองด้วยการเห่าหรือกัดเพื่อไล่มนุษย์ และเขาก็จะทำอย่างนั้นต่อไปคล้ายกลไกป้องกันตัวUnderstanding the family member การเลี้ยงดูน้องหมาจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่งไม่ต่างจากการเลี้ยงลูก เพราะน้องหมาก็มีการเรียนรู้ไม่ต่างจากมนุษย์ เราต้องคำนึงถึงกระบวนการต่างๆ เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้ไปในทางที่ถูกต้อง หลักการทางจิตวิทยาจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจเพื่อเข้าใจน้องหมาของตัวเองมากขึ้น น้องหมานั้นจะสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วหากน้องเขาได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ในตัวของเจ้าของนั้นจะมีหน้าที่เป็นคนส่งเสริมการเรียนรู้ของเขาให้ไปด้วยดีCaution ในบางครั้งเราอาจจะเข้าใจผิดว่าหากน้องหมากระทำผิด เช่น การเห่า กัด หรือกินอาหารบนโต๊ะ แล้วต้องทำโทษโดยการตีหรือจับขังกรงเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ว่าสิ่งดังกล่าวผิดและไม่ควรทำ การกระทำดังกล่าวผิดอย่างยิ่งเพราะน้องหมาก็รักอิสระไม่ต่างจากมนุษย์และจะดุร้ายมากขึ้นหากไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ แต่ถ้าจะทำโทษก็ควรเป็นเพียงแค่งดอาหารก็เพียงพอต่อการเรียนรู้ ทางที่ดีที่สุดคือทำให้น้องรู้ด้วยตัวเองว่าทำอย่างไรถึงจะดีConclude อย่างไรก็ตามการเลี้ยงดูน้องหมาถือเป็นความรับผิดชอบที่สูงมากพอๆ กับการจะมีลูก เราควรจะต้องคำนึงถึงความพร้อมของเจ้าตัวด้วยเพราะเราต้องมีความใส่ใจและเวลาที่เยอะมากเพื่อที่จะทำความเข้าใจน้องๆ เพื่อให้เขาได้โลดแล่นไปกับเราอย่างมีความสุข

 เพื่อน ๆ รู้ไหมว่า ผิวหนังของน้องหมาน้องแมวนั้นบอบบางกว่าคนเราถึง 3 เท่าเลยนะ โดยผิวหนังของน้องๆ มีประมาณ 3 - 5 ชั้น แต่ของคนจะมีความหนา 10 - 15 ชั้น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีนั้น จึงทำให้น้องหมาน้องแมวเกิดความระคายเคืองได้ง่าย แต่ถ้าจะไม่ให้อาบน้ำน้องหมาน้องแมวเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม ดังนั้น จึงต้องมีผลิตภัณฑ์อาบน้ำน้องหมาน้องแมวที่เป็นแบบออร์แกนิคออกมาตอบโจทย์นี้นั่นเอง Hubpy Organic !!!! เป็นผลิตภัณฑ์แชมพู ครีมนวด และสเปรย์ ออร์แกนิค ที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ 100%  และปราศจากสารไม่พึงประสงค์ SLS FREE , SLES FREE, PARABEN FREE, ALCOHOL FREE, SYNTHETIC  COLOR FREE , pH Balance ผ่านการทดสอบการระคายเคืองขั้นสูงโดยแพทย์ผิวหนัง มีความอ่อนโยนไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง จากแล็บมาตรฐานประเทศญี่ปุ่น แถมเค้ายังมีหลายสูตรสำหรับน้องหมาน้องแมวให้เลือกอีกด้วยนะ ที่สำคัญด้วยความเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เวลาเพื่อน ๆ อาบน้ำให้น้องๆ ที่บ้าน ก็จะไม่แสบมือ และน้อง ๆ เองก็ไม่ต้องแสบผิวอีกด้วยนะ รับรองว่าน้องหมาน้องแมวที่แพ้ง่ายสามารถใช้ได้อย่างแน่นอน สามารถเข้าไปเลือกดูสูตรที่เหมาะกับน้องหมาน้องแมวที่บ้านและสั่งซื้อได้ที่ Facebook Fanpage: Hubpy Organic หรือจะเข้าไปสอบถามว่าน้อง ๆ ของเราเหมาะกับสูตรไหน เพียงทักเข้าไปที่ทางกล่องข้อความได้เช่นกัน โดยจะมีผู้เชียวชาญคอยให้คำปรึกษาเพื่อน ๆ อยู่ตลอดเลยน้า

เป็นข่าวที่น่ายินดีและอบอุ่นหัวใจไม่น้อยเมื่อลูกตัวกินมดยักษ์ได้ออกมาลืมตาดูโลก ในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2565 ที่ผ่านมา ณ สวนสัตว์ดัดลีย์ ประเทศอังกฤษ ตัวกินมดยักษ์นั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่ไม่มีฟัน กินมด ปลวก และตัวด้วงอ่อนเป็นอาหาร มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลาง การถูกทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยทำให้จำนวนของพวกมันลดลงอย่างรวดเร็ว องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) จึงจัดให้ตัวกินมดยักษ์เป็นสัตว์ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ โดยขณะนี้มีตัวกินมดยักษ์ที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในป่าธรรมชาติเหลือเพียงแค่ 5,000 ตัวเท่านั้น ขณะที่พวกมันถูกจัดว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้วจากเบลีซ คอสตาริกา กัวเตมาลา และอุรุกวัย การให้กำเนิดลูกตัวกินมดยักษ์ครั้งนี้จึงสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ดูแลสวนสัตว์ดัดลีย์ไม่น้อย “นี่ถือเป็นลูกตัวกินมดยักษ์ตัวแรกที่ถือกำเนิดในสวนสัตว์แห่งนี้ในรอบ 85 ปี” ผู้ดูแลสวนสัตว์กล่าว แม้ว่าในตอนนี้เจ้าตัวกินมดยักษ์ตัวน้อยยังคงต้องตัวติดกับแม่ไปอีก 10 เดือน แต่ Pet Hipster ก็ขอให้น้องเติบโตอย่างแข็งแรงและสร้างครอบครัวตัวกินมดยักษ์เพิ่มขึ้นให้กับโลกใบนี้นะจ๊ะCredit : DUDLEY ZOO

P22 สิงโตภูเขาที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Brad Pitt” แห่งสิงโตภูเขา นอกจากใบหน้าที่งดงามแล้ว การใช้ชีวิตของ P22 ก็ทำให้ชาวเมืองลอสแอนเจลิสต่างต้องตกหลุมรักมัน เดิมที P22 เกิดปี 2010 ใน Santa Monica Mountain ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นถิ่นอาศัยของสิงโตกว่า 100 ตัว แต่ในปี 2012 มันก็ได้โยกย้ายถิ่นฐานของตัวเองมาอยู่ใน Griffith Park สวนสาธารณะขนาด 4,000 เอเคอร์ ใกล้ Hollywood Hills ที่เป็นแหล่งพักอาศัยของคนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีการบันทึกว่าเจ้า P22 จะทำอันตรายต่อผู้คนเลยแม้แต่น้อย มันใช้ชีวิตอย่างสงบและสันโดษ รักษาระยะห่างกับผู้คนและออกหากินในยามค่ำคืนเท่านั้น ถึงจะใช้ชีวิตอย่างสงบไม่รบกวนผู้คนแต่เจ้า P22 ก็เคยก่อวีรกรรมที่เขย่าขวัญคนทั้งเมืองมาแล้ว เมื่อมันเผลอไปกินสัตว์ที่ตายด้วยยาเบื่อหนูเข้าจนตัวเองล้มป่วย เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ชาวเมืองออกมาเรียกร้องให้รัฐเข้ามาควบคุมการใช้สารพิษตัวดังกล่าว จนในที่สุดรัฐแคลิฟอร์เนียก็ได้ออกกฎหมายแบนการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดเพื่อกำจัดหนูชนิดร้ายแรงในปี 2020P22 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันระหว่างชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในป่าคอนกรีตกับสัตว์นักล่าที่อาศัยอยู่ในป่าไม้ได้เป็นอย่างดี และปฏิเสธไม่ได้ว่ามันได้กลายเป็นดาวเด่นแห่งเมือง Hollywood ไปแล้ว ทุกครั้งที่ชาวเมืองลอสแอนเจลิส พบเจ้า P22 กำลังออกหากินบริเวณใกล้บ้านตนเองในตอนกลางคืนก็มักจะถ่ายคลิปเก็บเอาไว้อวดบนโลกโซเชียลกันเป็นประจำPhotographer : Steve Winter Photographer : Alamy

เมื่อพูดถึงเพลี้ยจักจั่น เกษตรกรหลายคนถึงกับต้องกุมขมับ เพราะมันคือศัตรูพืชตัวฉกาจที่คอยดูดน้ำเลี้ยงจากช่อดอกและใบ ทำให้ผลไม้ติดผลน้อยจนอาจไม่ได้กำไรในฤดูกาลผลิตนั้น ๆ  แต่กลับเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก โดยเฉพาะนักกีฏวิทยา เมื่อเพลี้ยจักจั่นชนิดพันธุ์ใหม่ถูกค้นพบ ณ ป่าฝนทางตะวันตกของประเทศยูกันดา “เพลี้ยจักจั่น” ที่เพิ่งได้รับการค้บพบนี้ ได้รับการตั้งชื่อสปีชีส์ว่า Phlogis kibalensis  ค้นพบโดย Dr Alvin Helden นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษจาก Anglia Ruskin University ซึ่งสกุล Phlogis ของเจ้าเพลี้ยจักจั่นเป็นสกุลที่หาพบได้ยาก เนื่องจากชนิดพันธุ์ใกล้เคียงถูกพบล่าสุดเมื่อปี 1969 หรือ 53 ปีที่แล้ว ในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (Central African Republic) ลักษณะของเพลี้ยจักจั่นชนิดนี้ จะมีหัวโต ลำตัวเรียวแหลมสีเมทัลลิคเงางาม อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้มีความคล้ายคลึงกับเพลี้ยจักจั่นชนิดพันธุ์อื่น ๆ Dr Alvin กล่าวว่า “เพลี้ยจักจั่นในสกุลนี้นั้นมีความแปลกและหายากมากถึงขั้นว่า นักวิทยาศาสตร์ไม่มีข้อมูลทางชีววิทยาที่ใช้ระบุได้เลยว่าพวกมันกินพืชชนิดใดเป็นอาหาร และรับบทอะไรในระบบนิเวศ” ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่ายินดีอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ได้รับการค้นพบก็ยิ่งทำให้พวกเรา Pet Hipster เกิดความสงสัยใคร่รู้ว่ายังมีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนโลกนี้อีกบ้างไหมที่ยังรอคอยการพบเจอ ให้พวกเราได้ทำความรู้จักกับความมหัศจรรย์ของพวกมันPhlogis kibalensis Photograph: Anglia Ruskin University/PA

หนังสือเรียนวิชาภาษาไทย ภาพวาดบนฝาผนังวัด ละครจักรๆ วงศ์ๆ ยามเช้า คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราคุ้นเคยกับเรื่องราวของ ‘ป่าหิมพานต์’ ป่าซึ่งบรรจุสิ่งมีชีวิตลึกลับ ทั้งพืชพรรณ เหล่าเทพ และสัตว์นานาชนิดที่รู้จักกันในนาม ‘สัตว์หิมพานต์’ สร้างสรรค์ขึ้นตามจินตนาการของกวีและจิตรกรไทยโบราณ โดยอ้างอิงมาจากไตรภูมิ คัมภีร์ และชาดกต่างๆ ทางพุทธ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพราหมณ์ - ฮินดู‘ป่าหิมพานต์ หรือ หิมวันต์’ ปรากฏอยู่ในวรรณคดีไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย ที่ชื่อ ‘ไตรภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง’ โดยพญาลิไทย กษัตร์ย์นักปราชญ์ผู้ครองเมืองศรีสัชนาลัย ที่พระราชนิพนธ์จากคติความเชื่อแบบพุทธ ในเรื่องของนรก สวรรค์ และโลกมนุษย์ โดยไตรภูมิ ประกอบด้วย กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ซึ่งสัตวโลกทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิด จนกว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์นอกจากนี้ เชื่อว่า ป่าหิมพานต์ตั้งอยู่ในชมพูทวีป บนเขาหิมาลายา หรือที่เราคุ้นหูว่า หิมาลัย ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า สถานที่ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ จึงมองรวมเป็น ‘เขาหิมพานต์’ ที่มีเนื้อที่ขนาดใหญ่กว่า 48,000 กิโลเมตร ประดับด้วยยอดเขา 84,000 ยอด บรรดาสัตว์หิมพานต์ จะมีลักษณะของสัตว์หลายชนิดมาประกอบกันในตัวเดียว มีรูปร่างวิจิตรพิสดารแปลกตาและชื่อเรียกที่แปลกหู โดยจำแนกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ สัตว์ทวิบาท (มีสองขา) เช่น เหล่านกและนกผสม อสูรปักษา, อสุรวายุพักตร์, นกการเวก, ครุฑ, กินรี, เทพปักษี, นกทัณฑิมาหงส์, หงส์จีน, คชปักษา, มยุระคนธรรพ์, มยุระเวนไตย, สินธุปักษี, สีหสุบรรณ, สุบรรณเหรา, มังกรสกุณี, นาคปักษี, นาคปักษิณ, นกหัสดี, นกอินทรี, นกสัมพาที, กินนร, สกุณเหรา, นกเทศ, พยัคฆ์เวนไตย, นกสดายุ, เสือปีก, อรหัน เหล่ามนุษย์ คนธรรพ์, มักกะลีผล สัตว์จตุบาท (มีสี่ขา) เช่น เหล่าสิงห์และสิงห์ผสม บัณฑุราชสีห์, กาฬสีหะ, ไกรสรราชสีห์, ติณสีหะ, เกสรสิงหะ, เหมราช, คชสีห์, ไกรสรจำแลง, ไกรสรคาวี, เทพนรสีห์, ฑิชากรจตุบท, โต, ไกรสรนาคา, ไกรสรปักษา, โลโต, พยัคฆ์ไกรสร, สางแปรง, สิงหคาวี, สิงหคักคา, สิงหพานร, สกุณไกรสร, สิงโตจีน, สีหรามังกร, โตเทพสิงฆนัต, ทักทอ, นรสิงห์ เหล่าม้า ดุรงค์ไกรสร, ดุรงค์ปักษิณ, เหมราอัสดร, ม้าปีก, งายไส, สินธพกุญชร, สินธพนที, โตเทพอัสดร, อัสดรเหรา, อัสดรวิหก เหล่าช้าง เอราวัณ, กรินทร์ปักษา, วารีกุญชร, ช้างเผือก เหล่ากิเลน กิเลนจีน, กิเลนไทย, กิเลนปีก เหล่ากวาง มารีศ, พานรมฤค, อัปสรสีหะ เหล่าจระเข้ กุมภีนิมิตร, เหรา เหล่าลิง กบิลปักษา, มัจฉาน เหล่าวัวควาย มังกรวิหค, ทรพา, ทรพี แรด ระหมาด สุนัข นาคจำพวกปลา เช่น เหมวาริน, กุญชรวารี, มัจฉนาคา, มัจฉวาฬ, นางเงือก, ปลาควาย, ปลาเสือ, ศฤงคมัสยา ปูพื้นที่ที่ไม่สิ้นสุดของการสร้างสรรค์ในป่าหิมพานต์แห่งนี้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญในศิลปะจากสัตว์ป่าของไทย ที่ปรากฏให้เห็นทั้งในรูปแบบจิตรกรรม ประติมากรรม รวมถึงงานเขียนบทประพันธ์ต่างๆ รวมทั้งยังมีอิทธิพลต่อสังคมชาวพุทธในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยความเชื่อที่ว่า การมุ่งมั่นทำความดีย่อมจะนำพาเราไปสู่ภพที่ดีอย่าง ‘ป่าหิมพานต์’ --------------------------------------------------ข้อมูล: กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, https://thematter.com, https://lifestyle.campus-star.com รูป: หนังสือไตรภูมิกถา ฉบับรัชกาลที่ 9 อัปโหลดโดย Pattanasak Banchornsuwan

“รู้ไหมว่า อาหารสุนัข Grain Free ช่วยลดความเสี่ยงในการแพ้ได้ด้วยนะ”หลายคนอาจจะเคยได้ยินและได้เห็นคำว่า Grain Free บนซองอาหารสุนัขในปัจจุบันมากขึ้น แต่บางคนก็อาจจะยังไม่รู้ถึงจุดประสงค์และคุณประโยชน์จากสองคำที่น่าสนใจนี้มากเท่าไหร่ เพราะไม่เพียงแต่มนุษย์แบบเราเท่านั้นที่มีอาการแพ้สารอาหาร เจ้าสี่ขาเห่าเก่งที่บ้านก็มีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน ทำให้ปัจจุบันหลายแบรนด์เริ่มมีการผลิตอาหารที่สนใจสุขภาพของพวกเค้าเยอะมากขึ้น Pet Hipster วันนี้เลยจะชวนผู้อ่านทุกคนมารู้จักกับอาหาร Grain Free และประโยชน์ที่น่าสนใจไปพร้อมๆ กันคำว่า Grain Free หมายความตรงตัวเลยคือปราศจากธัญพืชจำพวก ข้าวสาลี ข้าวโพดหรือถั่วเหลืองเป็นต้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากคาร์โบโฮเดรตไปเลยเพราะคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีสำหรับสุนัข ทำให้ยังมีการใช้ผลิตผลตัวอื่นทดแทนเพื่อให้ได้แหล่งพลังงานที่สำคัญอยู่อาหารสุนัขแบบ Grain Free ยังเหมาะกับบ้านไหนที่สงสัยว่าเจ้าสี่ขาจะมีอาการแพ้ เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน การให้อาหาร Grain Free ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แถมวันนี้ยังพิเศษกว่าเดิมเพราะคอลัมน์ You Know What มาพร้อมกับ Jerhigh MORE Grain Free อาหารสุนัขเม็ดกรอบที่ไม่เพียงปราศจากส่วนผสมของข้าวโพด ถั่วเหลืองหรือกลูเตนเท่านั้น แต่เค้ายังอัดแน่นคุณประโยชน์อื่นๆ มาอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารที่จัดเต็มในซองเดียวกว่า 49 ชนิด มีการควบคุมปริมาณโซเดียม หมดห่วงอาหารโซเดียมสูงที่เสี่ยงต่อโรคไต ไม่มีผลพลอยได้จากสัตว์ แถมสูตรอาหารยังพัฒนาร่วมกับสัตวแพทย์อีกด้วย ไว้ใจในความอร่อยและประโยชน์ดีๆ ต่อสุนัขของเราได้เลย อาหารสุนัขแบบ Grain Free ของ Jerhigh นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการแพ้แล้ว ยังมีหลากหลายรสชาติให้เลือกเพื่อความเหมาะสมของสุนัขแต่ละบ้านด้วย คุณประโยชน์ที่เยอะแถมยังใส่ใจต่อสุขภาพของสุนัขแบบนี้ ต้องมีติดบ้านไว้แล้ว

รู้หรือไม่น้องหมา ก็ต้องดูแลสุขภาพช่องปากเหมือนกันนะสุขภาพช่องปากนั้นสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นเลย หากปล่อยปละละเลยให้มีกลิ่นปากแถมมีคราบหินปูนเกาะอาจเป็นจุดเริ่มต้นของโรคปริทันต์ที่ทำให้น้องหมาสูญเสียฟันได้ และที่เลวร้ายไปกว่านั้นหากไม่รักษาให้ทันท่วงทีน้องหมาสุดที่รักของพวกเราอาจป่วยเป็นโรคปริทันต์และอายุสั้นได้ด้วยนะ วันนี้ Pet Hipster จึงขอพาเพื่อน ๆ มาทำความรู้จักกับโรคนี้ และนำเสนอตัวช่วยในการดูแลช่องปากของน้องหมาให้ฟันสวยใส ไร้กลิ่นปาก                  โรคปริทันต์นั้นเกิดขึ้นได้ในสุนัขทุกตัวที่ไม่ได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกวิธี ทำให้มีแผ่นเชื้อจุลินทรีย์สะสมอยู่ในช่องปากจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการอักเสบของอวัยวะปริทันต์ หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอาจทำให้สูญเสียอวัยวะปริทันต์และเมื่อเชื้อโรคแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดจะทำให้เกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาได้เช่นโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต เป็นต้นอย่างไรก็ตามไม่ต้องตกใจไป เพราะว่าปัจจุบันนั้นมีผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพช่องปากน้องหมาโดยเฉพาะและหนึ่งในไอเทมเด็ดที่ Pet Hipster ขอแนะนำนั่นก็คือผลิตภัณฑ์จาก Tropiclean Thailand อย่าง Tropiclean Fresh Breath Teeth Gel ที่เพียงแค่ป้ายเจลตรงบริเวณที่มีคราบหินปูนวันละ 1 ครั้งติดต่อกันก็จะช่วยสลายคราบจุลินทรีย์และหินปูนลง ช่วยให้น้องหมาฟันขาว กลิ่นปากหอมสดชื่นนอกจากนี้เขายังมีผลิตภัณฑ์ที่ Pet Hipster คิดว่าใช้งานง่ายสุด ๆ ไปเลยนั่นก็คือ Tropiclean Oral Care Water Additive ที่เพียงแค่ผสมกับน้ำดื่มของน้องหมาลงไปในอัตราส่วน 1 ฝา ต่อน้ำ 500 มิลลิลิตร ให้น้องหมาดื่ม เพียงเท่านี้เจ้าตูบที่เพื่อน ๆ รักก็จะมีสุขภาพช่องปากที่ดีและกลิ่นปากหอมสดชื่น และที่สามารถมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Tropiclean Thailand นั้นปลอดภัยสุด ๆ เพราะเขาผลิตจากธรรมชาติ 100%ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสุขภาพช่องปากนั้นมีความสำคัญมากต่อน้องหมาในระยะยาว หากขาดซึ่งการดูแลเอาใจใส่ที่เหมาะสมอาจส่งผลร้ายแรงตามมาได้ อย่างไรก็ตามไม่ต้องกังวลไปเพราะทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับเหล่าคนรักสัตว์เยอะแยะมากมายอย่าง Tropiclean Thailand ที่คอยช่วยให้น้องหมาของเรามีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงและอยู่กับเราไปนาน ๆ 

เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้เห็นการแสดงพฤติกรรมที่น้องแมวมีอาการปากสั่น มีเสียงร้องสุดแสนจะน่ารักออกมา ตอนที่นั่งมองนกหรือมองสัตว์ต่าง ๆ อยู่ เพื่อน ๆ ไม่ต้องเป็นกังวลไป นี้คือสัญชาตญาณในการล่าของน้องนั้นเองอาการนี้เรียกว่า “ Cat Chattering” หรือเรียกว่า Chirping, Twittering, Carkling ถ้าจะแปลตามตัวก็คือ อาการร้องจ๊อกแจ๊ก ร้องแบบเสียงแหลม น้องแมวมักจะมีเสียงร้องต่าง ๆ มากมายที่พวกเขาทำแสดงออกมาว่ารู้สึกอย่างไร เช่น การส่งเสียงเพอร์ ( Purr ) เพื่อส่งสัญญาณความสุข การร้องเหมียว ๆ เพื่อทักทาย และส่งเสียงหวีดร้อง ขู่ฟ่อ หรือร้องโหยหวนเพื่อบ่งบอกถึงความกลัวหรือความโกรธ พวกเขายังมีเสียงที่พวกเขาสามารถสร้างขึ้นได้เมื่อสนใจเหยื่อ นั่นก็คือเสียง“Cat Chattering” ที่เราจะพูดถึงกันนั่นเองแล้วเมื่อไหร่ที่แมวจะแสดงอาการนี้ล่ะ ?น้องแมวมักจะแสดงอาการนี้ก็ต่อเมื่อรู้สึกตื่นเต้นเมื่อมีสิ่งกระตุ้นที่มองเห็นได้ชัดเจน และเป็นสิ่งที่พวกเขาสนใจ เช่น นกหรือสัตว์ตัวอื่น ๆ ที่เคลื่อนไหวไปมา นี่คือสัญชาตญาณในการล่าของพวกเขา บางครั้งเพื่อน ๆ อาจจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเจ้าเหมียวขณะที่แสดงพฤติกรรมนี้ด้วยนะ เช่น ตาเบิกกว้าง รูม่านตาของพวกเขาขยายออก หูเอียงไปข้างหน้า มีสมาธิเป็นพิเศษ สิ่งเหล่านี้จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วเจ้าเหมียวพูดว่าอะไรนะตอนที่แสดงอาการนี้ ?จากข้อมูลของ คุณ Marilyn Krieger ที่ปรึกษาด้านพฤติกรรมแมว ที่ ได้รับการรับรองในซานฟรานซิสโก กล่าวว่า การแสดงอาการนี้เกิดจากสารสื่อประสาท เช่น โดปามีน เช่นเดียวกับฮอร์โมนคอร์ติซอล / อะดรีนาลีนที่หลั่งออกมา และอาจเกิดจากความหงุดหงิดที่ไม่สามารถเข้าถึงเหยื่อได้ในทันที Marilyn Krieger กล่าวว่า เธอเคยเห็นแมวของตัวเองแสดงอาการปากสั่นเมื่อเล่นกับเลเซอร์ เพราะว่าไม่สามารถจับมันได้ ถ้าที่บ้านของเพื่อน ๆ มีพื้นที่ให้น้องแมวได้ออกไปส่องนก ให้น้องได้จ๊อกแจ๊กสักหน่อย ได้สร้างความตื่นเต้น ได้กระตุ้นสัญชาตญาณนักล่า ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในการพัฒนาตัวน้องแมวไปในตัวด้วย และยังแก้เซงให้น้องแมวได้ดีอีกด้วย

1.   ทำเสียงพูดเราอาจจะเคยได้ยินเสียงพึมพำออกมาระหว่างฟันและปากของเจ้าเหมียวเหมือนเสียงพูด โดยเฉพาะเวลาที่แมวของเรามองเห็นนกนอกหน้าต่าง ผู้เชี่ยวชาญบอกไว้ว่าที่แมวทำเสียงแบบนี้เพราะเขารู้สึกคับข้องใจที่ไม่ได้ออกไปล่าเหยื่อนั่นเอง2.   เอาหัวมาถูการที่เจ้าแมวของเราเอาหัวมาถูตัวเรา เขาไม่ได้จะมาทักทายเท่านั้น แต่มาถูไถเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเหมือนกับที่ได้พยายามถูเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน นั่นเพราะว่าที่หัวของแมวสามารถปล่อยฟีโรโมนออกมาได้3.   ชอบพื้นที่เล็กๆโดยธรรมชาติแมวไม่ชอบอยู่ในพื้นที่กว้าง เพราะมันไม่ปลอดภัยต่อการล่าเหยื่อ ดังนั้นพื้นที่เล็กๆ จำพวกกล่องหรือที่นอนแคบๆ ที่สามารถยัดตัวกลมๆ เข้าไปอยู่ได้พอดีจึงเป็นของโปรดปรานนัก 4.   กลิ้งไปมาเรามักสังเกตุเห็นพฤติกรรมสุดแสนน่ารักอย่างการกลิ้งไปมาของแมว แต่อาจไม่รู้ว่าเขาทำไปทำไม แมวกลิ้งไปมาไม่ได้คันหลังแต่อย่างใด แต่เขากำลังรู้สึกปลอดภัยที่ได้อยู่กับเราและกำลังบอกว่าถึงเวลาเล่นแล้ว  5.   สนใจของที่เราใช้ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เรากำลังอ่าน แท็บเล็ต หรือเสื้อผ้า อะไรที่เรากำลังโฟกัสอยู่ เขาจะพยายามมาส่องดูหรือนอนทับมันด้วย เพราะเจ้าแมวรู้ว่าถ้าได้สไลด์ตัวนอนตรงสิ่งนั้นๆ ที่เรากำลังสนใจ เขาจะได้รับความสนใจด้วยเช่นกัน  ข้อมูล: www.thedrakecenter.com/services/cats/blog

    คนที่มีภาวะโรคซึมเศร้า จะรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมีชีวิตอยู่ “สัตว์เลี้ยง” จึงเข้ามาเป็นตัวแปรสําคัญที่จะทําให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเริ่มเห็นค่าในชีวิตของตนเองอีกครั้ง เพราะการได้ดูแลสัตว์เลี้ยงสักตัวที่ผู้ป่วยสามารถควบคุมได้ จะทําให้ผู้ป่วยรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง และสามารถรับผิดชอบอะไรได้     สัตว์เลี้ยงจะช่วยเตือนว่าเขาไม่ได้ไร้ความสามารถ และมีสิ่งหนึ่งที่ต้องการความดูแลจากเขาอยู่ คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามักคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวบนโลกนี้ ไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ สัตว์เลี้ยงจึงเปรียบเสมือนเพื่อนที่ผู้ป่วยสามารถระบายความรู้สึกต่าง ๆ ได้ อย่างสบายใจ

1. กระต่ายเป็นสัตว์กินพืชผักและผลไม้ไม่ควรให้กินพวกขนมขบเคี้ยว ลูกอม เนื้อสัตว์ ของหมักดองเพราะระบบย่อยอาหารไม่เหมือนมนุษย์ อาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้2. ช่วงที่อากาศร้อนตอนกลางวัน กระต่ายจะไม่ค่อยกินอาหาร ให้ใส่อาหารสดให้เขากินจะได้เก็บพลังงานไว้ใช้ตอนกลางวัน3. ตรวจเช็คขวดน้ำทุกวันว่าน้ำไหลหรือรั่วหรือไม่และหมั่นล้างขวดน้ำสม่ำเสมอ ห้ามให้กระต่ายกินน้ำในถ้วยเด็ดขาดการกินน้ำเยอะๆ เป็นเรื่องปกติร่างกายจะได้ขับของเสียออกมาได้เยอะขึ้น4. หลีกเลี่ยงการพากระต่ายออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านในเวลาประมาณ 09:00 – 17:00 น. ช่วงฤดูร้อน5. ห้ามอาบน้ำกระต่ายตอนกลางคืนเด็ดขาด เวลาจะอาบน้ำควรเช็คสภาพอากาศและช่วงเวลา ที่สำคัญหลังอาบน้ำเสร็จ ให้ไดร์ขนให้แห้งสนิท

วันนี้ pethipster จะพามารู้จักสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มี IQ สูงและฉลาดพอๆ กับลิงชิมแปนซีแล้วล่ะก็ หลายคนต้องนึกถึง ”โลมา” แน่นอน โลมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่อาศัยอยู่ในน้ำ มีนิสัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ กินสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร เป็นที่รู้กันดีว่าโลมานั้นเฉลียวฉลาดและแสนรู้ ด้วยขนาดสมองที่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว จึงทำให้พวกมันมักแสดงพฤติกรรมแปลกๆ ให้คนได้เห็นหรืออึ้งกันอยู่บ่อยๆ นักสำรวจจากหลายสำนักได้ทำการศึกษาการเป็นอยู่ของโลมาจึงทราบว่า โลมานั้นมีทั้งหมด 78 ชนิดทั่วโลก ในประเทศไทยเราจะเห็นอยู่กัน 5 ชนิด ซึ่งเมื่อ 45 ล้านปีที่แล้ว โลมานั้นเคยเป็นสัตว์บกมาก่อน โดยจะมีลักษณะรูปร่างคล้ายกับสุนัขผสมกับหนูแต่ด้วยการดำรงชีวิตเพื่อให้อยู่รอดจึงต้องปรับเปลี่ยนลักษณะ รวมถึงพฤติกรรมเพื่อให้อยู่บนโลกได้ต่อไป มันจึงวิวัฒนาการไปใช้ชีวิตในน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายจากสัตว์อื่นๆ รวมถึงมนุษย์ด้วยนอกจากนี้แล้ว โลมายังเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมชอบช่วยเหลือมนุษย์ยามเมื่อเรือแตกหรือใกล้จะจมน้ำ ทั้งนี้เพราะโลมาเป็นสัตว์ที่รักสนุกและขี้เล่น ที่โลมาช่วยชีวิตมนุษย์อาจเป็นเพราะต้องการเข้ามาเล่นสนุกเท่านั้น หรือไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่มักจะดุนลูกขึ้นไปหายใจบนผิวน้ำอยู่เสมอ โดยเฉพาะถ้าลูกโลมาเสียชีวิตระหว่างคลอด จะพบว่าแม่โลมาจะพยายามดุนศพลูกเอาไว้ให้ใกล้ผิวน้ำมากที่สุดถึงแม้โลมาจะดูเป็นมิตรต่อมนุษย์ แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวนี้มีพฤติกรรมที่แปลกและน่าสนใจอยู่มาก โดยเฉพาะช่วงผสมพันธุ์เพศผู้นั้นนิยมที่จะรุมผสมพันธุ์เพศเมียอยู่เสมอ หลายๆ คนที่เป็นนักสำรวจยังเคยจดบันทึกว่าโลมานั้นมีความสุข สนุกสนานที่มีเซ็กส์ ซึ่งความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับมนุษย์มีการบันทึกกระทั่งว่าถ้าโลมาตัวผู้อยากร่วมเพศกับตัวเมีย แต่ตัวเมียมีลูกเล็ก เพศผู้ก็จะทำการฆ่าลูกเพศเมียทิ้งเสีย เพื่อที่จะให้ตัวเมียว่างและพร้อมที่จะผสมพันธุ์ เนื่องจากโลมามีความฉลาดมาก มันก็จะมีพฤติกรรมแปลกๆ อีกเพียบและหนึ่งในนั้นที่มีการบันทึกไว้ก็คือ มันเป็นสัตว์ที่ชอบ “มึนเมา” มันชอบเอาตัวไปชนปลาปักเป้าเพราะพิษของมันจะออกฤทธิ์ ที่ทำให้โลมารู้สึกมึนเมา ไม่ต่างจากการกินเหล้าหรือเสพยาของมนุษย์เลย

วันนี้ Pet Hipster จะพามาดู 6 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับแมว ที่มักจะพบเจอได้บ่อยๆ และเรื่องเข้าใจผิดเหล่านี้ก็อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดถาวรและการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้องได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขามากขึ้น เราก็จะได้ดูแลพวกเขาได้ดีต่อไป1.    แมวชอบอยู่บ้านตามลำพัง หลายคนมักเข้าใจผิด คิดว่าปล่อยให้แมวอยู่บ้านตามลำพังกับเครื่องให้น้ำ - ให้อาหารอัตโนมัติแล้วเขาจะอยู่ได้ เปล่าเลย เพราะจริงๆ แล้วเจ้าแมวสามารถวิตกกังวลเวลาที่เราไม่อยู่ได้เหมือนๆ กับสุนัข   2.    เสียง purr เท่ากับมีความสุข ส่วนหนึ่งของเสียง purr อาจแปลได้ว่าแมวกำลังมีความสุขจริง แต่นั่นก็ไม่เสมอไป เพราะเสียง purr นี้ แมวจะใช้ในช่วงที่เขาถูกข่มขู่หรือว่ากำลังบาดเจ็บได้ด้วย3.    แมวใช้ชีวิตช่วงกลางคืน จริงๆ แล้วเจ้าแมวไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงกลางคืน แต่เป็นช่วงพลบค่ำกับรุ่งสางต่างหาก เหตุผลก็เพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เหยื่อในธรรมชาติตื่นและถึงเวลาที่เขาต้องล่านั่นเอง4.    ฝึกแมวให้ฟังและเรียนรู้ไม่ได้ ‘ไม่มีทางที่แมวจะฝึกตามคำสั่งหรือให้ทำท่าทางได้หรอก’ ประโยคนี้ไม่จริงเสมอไป เพราะที่จริงแล้วแมวสามารถเทรนด์ได้ สอนได้ เหมือนกับสุนัขเลย5.    อาหารแห้งดีกว่าอาหารเปียก อาหารแห้งไม่ได้ดีกว่าเสมอไป เพราะอาหารเปียกไม่ว่าจะมาในรูปแบบกระป๋องหรือซอง จะมีคุณสมบัติที่ดีกว่าอาหารเม็ดในเรื่องของปริมาณโปรตีนที่มากกว่า แคลอรี่ที่น้อยกว่า แถมยังให้ความชุ่มชื้นที่เยอะกว่าด้วย6.    แมวทุกตัวชอบกัญชาแมว ความจริงแล้วมีเพียง 50 - 75 เปอร์เซ็นต์ของแมวเท่านั้นที่ชอบกัญชาแมว แถมแมวส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถให้กัญชาแมวได้จะอยู่ในแถบออสเตรเลีย เหมือนกับที่บางตัวเวลาให้กัญชาแมวไปแล้วจะมีความสุข แต่บางตัวก็กลายเป็นก้าวร้าว

อะไรคือสาเหตุของภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลในสุนัขการที่สุนัขได้พบเจอกับเรื่องที่หนัก หรือเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแง่ลบ อาจนำมาซึ่งอาการของโรคซึมเศร้า และวิตกกังวลได้ตัวอย่างเช่น การสูญเสียเจ้าของ การสูญเสียเพื่อนของเขา หรือแม้กระทั่งความรู้สึกด้านลบ ความเศร้า ความโกรธ ที่ออกมาจากเจ้าของหรือผู้คนรอบข้าง ทั้งหมดล้วนส่งผลต่ออารมณ์ของสุนัขลักษณะของสุนัขที่เป็นโรคซึมเศร้าอาการของโรคซึมเศร้าในสุนัขนั้น ค่อนข้างมีความคล้ายกับของคนเรา และที่พบได้บ่อยคือ การทำกิจกรรมต่าง ๆ ลดลง ความสนใจในสิ่งที่เคยชอบลดลงหรือหายไปอย่างเห็นได้ชัด และอาการที่สังเกตได้ง่าย คือ การสั่น หางจุกก้น การหลบซ่อน และพฤติกรรมของสุนัขที่เมินเฉยต่อสิ่งต่าง ๆ การหลบหนี หลบซ่อน หรือแม้แต่การเลียหรือกัดร่างกายตัวเอง ถ้าเป็นของคนเราก็คือการทำร้ายตัวเอง การรักษาอาการซึมเศร้าของสุนัขสามารถเริ่มได้ที่ตัวเจ้าของด้วยนะ !!ข่าวดี สุนัขสามารถเอาชนะอาการของโรคซึมเศร้าได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวของสุนัขเอง และสถานการณ์ด้วย ระยะเวลาอาจใช้เวลานานหลายวันจนถึงเดือน แต่ความรักความเอาใจใส่ของเจ้าของนั้น ล้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก และถ้าจะให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดควรทำควบคู่ไปกับคำแนะนำของสัตวแพทย์“ แชร์เทคนิคเบื้องต้น ”·      ให้ความสำคัญกับสุนัขมากขึ้น แต่ต้องทำจนกว่าจะเห็นถึงสัญญาณแห่งความสุขนะ เช่น การกระดิกหาง ถ้าเขาเริ่มมีสัญญาณที่ดี ก็ควรที่จะให้รางวัลด้วยน้า ·      พยายามให้สุนัขของคุณเริ่มทำกิจกรรมที่ได้ใช้เวลาร่วมกับเจ้าของ เช่น การชวนเขาไปวิ่งเล่น หรือ เล่นเกมที่ช่วยเสริมสร้างภูมิปัญญา กิจกรรมที่ใช้สัญชาตญาณ ·      นอนกอดเขา หรืออยู่ใกล้ ๆ ในช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอ          ที่กล่าวมาเป็นวิธีเบื้องต้นในการดูแลสุนัขจากโรคซึมเศร้าเท่านั้น ถ้าในสุนัขที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง แนะนำให้ลองปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงด้วย สัตวแพทย์อาจสั่งยาคลายความวิตกกังวลให้  PetHipster ก็แนะนำว่า ถ้าอาการของน้องหมาที่บ้านเริ่มแสดงอาการออกมาชัดแล้ว ก็ควรรีบพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อให้คุณหมอแนะนำเทคนิคหรือวิธีการดูแลสุนัขที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้อย่างถูกวิธี  

            หลายบ้านอาจจะมีปัญหาน้องหมาพยายามปีนโต๊ะอาหาร เพื่อแอบชิมความอร่อยในจานหรืออาจจะปีนโต๊ะเพื่อความสนุกส่วนตัว ซึ่งปัญหานี้อาจทำให้เกิดความเลอะเทอะ พฤติกรรมต่อเนื่องที่ไม่น่าชวนพิศมัย รวมถึงอาจทำให้เกิดการทะเลาะกันระหว่างน้องหมากับเราได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปเพราะวันนี้คอลัมน์ How to ได้รวมวิธีช่วยฝึก และวิธีหลีกเลี่ยงน้องหมาปีนโต๊ะอาหารมาให้และหลีกเลี่ยงน้องหมาปีนโต๊ะอาหารมาให้แล้ว                -ฝึกน้องหมาให้รู้จักที่ทางถ้าเริ่มสังเกตเห็นน้องหมาของเราเดินมาดม ๆ บริเวณโซนทำอาหาร แทนที่เราจะรีบตะโกนด่า หรือตะโกนไล่ไปด้วยเสียงที่ดัง อยากแนะนำให้ฝึกเขารู้จักที่ประจำของตัวเองเพื่อในขณะที่เราทำอาหาร น้องหมาจะได้ไม่ตะกายขึ้นมาบนโต๊ะ โดยวิธีการฝึกคือการให้ขนมเป็นรางวัลเมื่อน้องหมาเดินเข้าไปประจำยังที่ของตัวเอง ทำต่อเนื่องจนน้องหมาเรียนรู้ว่าถ้าอยากได้ขนมต้องเดินเข้าไปอยู่โซนนั้นเท่านั้นนะ แล้วพฤติกรรมกระโดดขึ้นโต๊ะอาหารจะค่อย ๆ ลดไป                - ซ่อนขนมไว้บริเวณอื่นของครัวก่อนจะเริ่มเข้าครัว วิธีลดพฤติกรรมน้องหมากระโดดขึ้นโต๊ะอาหารอีกวิธีหนึ่ง อาจจะลองซ่อนขนมไว้ตามมุมอื่น ๆ ของครัวโดยที่ไม่ให้ใกล้กับบริเวณที่จะมีการวางอาหารไว้ โดยถ้าน้องหมาเริ่มเดินตามเข้ามาในครัวเมื่อไหร่ ให้เขาเล่นเกมค้นหาขนมที่ซ่อนไว้ก่อนได้เลย และทำต่อเนื่องจนน้องหมาเข้าใจได้ว่าจะได้ของกินแน่นอนจากการตามหาขนมบริเวณพื้น ดีกว่าการกระโดดขึ้นบนโต๊ะ           - ทำให้โต๊ะอาหารสะอาดอยู่เสมอ โดยปกติน้องหมาเป็นสัตว์ที่มีจมูกดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องของอาหาร เพราะฉะนั้นอยากแนะนำให้ทุกคนทำความสะอาดบริเวณโต๊ะอาหารให้สะอาดอยู่เสมอหลังจากเข้าครัวเสร็จแล้ว เพราะกลิ่นที่คงค้างอยู่อาจจะทำให้เขาสนใจ และอยากจะปีนขึ้นบนโต๊ะในครั้งต่อไปได้               - ฝึกน้องหมาให้วางสี่ขาบนพื้น หลังจากทำความสะอาดโต๊ะให้สะอาด และมีกลิ่นอาหารหลงเหลือน้อยที่สุดแล้ว เหตุผลที่น้องหมาจะกระโดดขึ้นบนโต๊ะก็จะลดน้อยลงไปด้วย หลังจากนี้มาเรียนรู้อีกวิธีที่จะทำให้เขาได้รางวัลจากการอยู่ที่พื้นดีกว่า นั่นก็คือการฝึกให้อยู่นิ่ง เท้าแตะพื้นทั้งสี่ขา และค่อยให้ขนม ให้เขาได้ชินกับการได้รับรางวัลเป็นขนมเมื่อเท้าทั้งสี่วางอยู่บนพื้นเท่านั้น                - ไมให้ความสนใจ ถ้าน้องหมาพยายามที่จะกระโดดขึ้นบนโต๊ะอาหาร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความน่ากินหรือเพื่อความสนุกก็ตาม อยากให้เราลองแกล้งทำเป็นไม่สนใจดูสักครั้ง อาจจะหันหลังให้หรือเดินออกไปจากครัว แต่ต้องมั่นใจก่อนว่าไม่มีชามอาหารวางไว้ในรัศมีที่น้องหมาจะโดดกินถึง รวมถึงต้องมั่นใจด้วยว่าไม่เคยให้รางวัลเขาตอนที่กระโดดขึ้นมาบนโต๊ะ ลองวิธีนี้บ่อยขึ้นเพื่อให้น้องหมารู้ว่า การกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะแบบนี้ไม่ได้รับความสนใจจากเรานะ            จากวิธีทั้งหมดที่แชร์ให้ทุกคน ถ้าลองเลือกมาปรับแล้วแต่ยังไม่ได้ผล การพาน้องหมาไปพบกับนักบำบัดพฤติกรรมผู้เชี่ยวชาญอาจช่วยได้มากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อไม่ให้พฤติกรรมของเขาเลยเถิดจนเกิดเป็นพฤติกรรมถาวรที่อาจทำให้เราหงุดหงิดได้

พูดคุยกับ ‘คุณขมิ้น’ เจ้าของภาพวาดโดดเด่นกับลายเส้นและคาแรกเตอร์สัตว์ที่ไม่เหมือนใคร    วันนี้เราอยู่กับ ‘คุณขมิ้น’ เพียงขวัญ คำหรุ่น เจ้าของเพจ kamijn ที่มีผลงานภาพวาดอันโดดเด่น เรียกว่ามองแวบเดียวสามารถรู้ได้เลยว่าลายเส้นนี้เป็นของใคร เรานัดสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศใหม่ของคุณขมิ้น เจ้าตัวเดินยิ้มรับมาแต่ไกลพร้อมเปิดประตูให้เราและทีมงานเข้าไปข้างใน    ภายในเป็นตึกโล่งโปร่งที่กำลังตกแต่งเพื่อใช้เปิดเป็นสตูดิโอสอนวาดภาพและ Workshop ให้กับเด็กและผู้ใหญ่ที่สนใจศิลปะ บนชั้นสองเราสังเกตเห็นภาพวาดหลากหลายเทคนิค ซึ่งผลงานส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหน้าของสัตว์ โดยเฉพาะหน้าน้องแมวความชอบก่อเกิดเป็นผลงานคุณขมิ้นเรียนจบจากแขนงที่เกี่ยวกับการวาดภาพโดยตรง ด้วยความชอบและสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หลังเรียนจบจึงมองหางานที่เกี่ยวข้องในด้านนี้ ส่วนที่เลือกเรียนวาดภาพ เพราะส่วนตัวแล้วคุณขมิ้นคิดว่า “การวาดภาพเป็นเหมือนบันไดขั้นแรกของการแตกแขนงไปสาขาอื่นได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดองค์ประกอบหรือการเลือกมุมมองต่างๆ”เราถามคุณขมิ้นต่อว่า ทำไมต้องใช้คาแรกเตอร์สัตว์เป็นหลักในภาพวาด ยิ่งหน้าแมวจะเห็นได้บ่อยที่สุด คุณขมิ้นยิ้มและอธิบายให้ฟังว่า “เพราะเราชอบสัตว์ โดยเฉพาะแมว ที่บ้านก็เลี้ยงไว้หลายตัว จึงหยิบจับหน้าแมวใส่ในภาพวาดแทนหน้าคน ผลงานที่ออกมาก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่าง มีความขี้เล่นและสนุกสนานในภาพมากขึ้น” ยกตัวอย่างแมวที่ชื่อ ‘เห็ดหอม’ ที่โผล่มาให้เห็นบ่อยๆ เนื่องจากเป็นแมวที่คุณขมิ้นผูกพันมานาน พร้อมบอกต่อว่า “อยากวาดให้รู้สึกว่าเค้าไปกับเราในทุกที่ เป็นเหมือนตัวแทน น้องแมวเห็ดหอมเลยเป็นคาแรกเตอร์หลักของผลงานไปแล้ว”ความรู้สึกขณะนั้นหรือประสบการณ์จริงที่เจอเราถามคุณขมิ้นว่า ส่วนใหญ่แล้วเวลาวาดภาพมักใช้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้นหรือเอาประสบการณ์ที่เจอรอบตัวมาเป็นจุดตั้งต้นในการวาด “ส่วนใหญ่แล้วผลงานที่วาดจะใช้ประสบการณ์ในขั้นแรก เหมือนมีการวางแผนว่าจะทำอะไร สเก๊ตช์ภาพไว้คร่าวๆ ก่อนและตอนลงมือวาดจริงอาจจะมีความรู้สึกบวกเพิ่มเข้าไป” เราหันไปเห็นภาพวาดจากภาพยนตร์เรื่อง Forest Gump ฉากที่ฟอร์เรสท์นั่งบนเก้าอี้ แต่ต่างจากในหนังตรงที่ในภาพจะใส่หน้าแมวแทน จึงอดที่จะถามไม่ได้ว่าภาพนี้คุณขมิ้นเริ่มวาดได้ยังไง คุณขมิ้นก็เลยไขข้องสงสัยให้ว่า “เพราะเป็นคนชอบดูหนัง ถ้าช่วงไหนอินกับการดูหนัง ก็จะวาดฉากต่างๆ ในหนังบ่อยๆ ”  นั่นเองการวาดภาพก็เหมือนการทดลองส่วนใหญ่เวลาที่เราถามคุณขมิ้นเรื่องเทคนิคที่ถนัดในการวาดภาพหรือความชอบในการวาด ระหว่างวาดบนกระดาษ แท็บเล็ต หรือเพ้นท์ผนัง ชอบแบบไหนมากกว่ากัน คุณขมิ้นจะหยุดคิดนิดนึงและตอบเหมือนเดิมว่า “ไม่มีอันไหนที่ถนัดหรือชอบมากที่สุด แต่ละแบบมันขึ้นอยู่กับเทคนิคที่อยากจะใช้ตอนไหน ซึ่งก็เหมือนเป็นการทดลองกับตัวเรา เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง”ต่อยอดจากการวาดภาพนอกจากจะเป็นศิลปินอิสระแล้ว คุณขมิ้นยังรับสอนวาดภาพด้วย สอนได้ตั้งแต่เด็กๆ จนถึงผู้ใหญ่ รวมถึงมี Workshop ให้กับคนที่สนใจ คุณขมิ้นบอกกับเราว่าเคยสอนเด็กๆ มาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่และรู้สึกสนุกเวลาที่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็กๆ ให้เค้าได้ใช้จินตนาการอย่างเต็มที่ ปัจจุบันเลยขยับขยายงานเป็นสอนออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดจึงต้องมีการปรับตัว อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือสินค้าของคุณขมิ้น “เพราะเราชอบอะไรเล็กๆ กระจุกกระจิกอยู่แล้ว เลยเกิดไอเดียที่อยากจะให้ผลงานออกมาเป็นสินค้า ซึ่งอาจเจอได้ตามร้านขายของที่ระลึก ร้านเครื่องเขียนและงานอีเว้นท์ต่างๆ” ทำออกมาได้น่ารักมากๆ ด้วยสิ่งที่กำลังสนใจช่วงนี้คุณขมิ้นเล่าให้ฟังว่าช่วงนี้กำลังสนใจเรื่องของการเปิดคอร์สสอนวาดภาพออนไลน์มากขึ้น มันเป็นอะไรที่ใหม่เพราะมันมีทั้งเรื่องของการตลาด การวางแผนว่าจะทำอย่างไรให้คนเห็นเยอะๆ รวมถึงการคิดหัวข้อที่จะสอน ต้องศึกษาเพิ่มเติม แถมยังมีโปรเจคใหม่คือรับออกแบบและเพ้นท์ผนังให้กับร้านค้า โรงแรมหรือแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการงาน Mural หรือ Graffiti ไว้ให้ลูกค้าถ่ายรูปเช็คอินสวยๆ ด้วยสุดท้ายก่อนจะขอตัวกลับ เราแวบถามถึงที่มาของคำว่า Kamijn ที่คุณขมิ้นใช้ทั้งในไอจีและในเพจว่ามันมีที่มาอย่างไร จะอ่านเป็นคำว่าขมิ้นก็ไม่ได้เพราะมีตัวเจอยู่ คุณขมิ้นยิ้มนิดหนึ่งก่อนอธิบายให้ฟังว่า “มันเป็นการรวมตัวกันของคำว่าขมิ้นและจันทร์ ที่เป็นฉายาตั้งแต่สมัยเรียน จึงเกิดเป็นการรวมคำว่า kamin กับ j เข้าด้วยกันและใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน” เรียกว่าแค่ชื่อก็มีสไตล์เป็นของตัวเองแล้ว สามารถติดตามผลงานคุณขมิ้นได้ทาง IG: p_kamjin, FB Page: kamijn และ www.kamijn.com ใครอยากเรียนวาดภาพไปที่ IG และเพจ kamijnschool อยากช้อปสินค้าน่ารักๆ IG: kamijnstore แต่ถ้าสนใจอยากให้เพ้นท์ผนังให้ต้องที่ www.art-schmart.com

How To หลีกเลี่ยง 8 อาหารต้องห้ามของนกแก้วมาคอว์     ‘มาคอว์’ ถือเป็นนกแก้วที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้วยความยาวตลอดลำตัวเกือบ 40 นิ้ว และยังมีสีสันสวยงาม จะงอยปากใหญ่ แข็งแรงและทรงพลังมีทั้งสายพันธุ์แท้และพันธุ์ผสมจากถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโกและทวีปอเมริกาใต้ ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของมาคอว์คือ การมีความจำที่ดีมาก แถมอ่อนโยนและน่ารัก  แต่เรื่องของความดุร้ายหากรู้สึกถึงอันตรายก็มีมากไม่แพ้กัน     สำหรับคนที่คิดจะเลี้ยงนกแก้วมาคอว์จึงควรรู้ก่อนว่า นกสามารถกินอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง วันนี้เราจึงขอนำ How To หลีกเลี่ยง 8 อาหารต้องห้ามของนกแก้วมาคอว์ มาให้ได้อ่านกัน เพื่อป้องกันในการให้อาหารที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ให้เจ้านกกินอาหารเหล่านี้เข้าไปได้ทันท่วงที1. Chocolate    แน่นอนว่า ช็อกโกแลตเป็นอาหารที่มนุษย์อย่างเราเนี่ยชื่นชอบเป็นอย่างมาก แต่กับนกแก้วนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายถึงชีวิตได้เลย หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ก็ตาม เพราะในช็อกโกแลตนั้นมี Theobromine ซึ่งเป็นพิษต่อระบบย่อยอาหารของนก ทำให้ท้องร่วง และยังทำให้เกิดอาการตื่นตัวมากกว่าปกติ สร้างความเสียหายให้กับระบบประสาท ทำให้เกิดการชัก และมีโอกาสเสียชีวิตได้2. Cow's Milk    ในนมวัวมี Lactose ที่จะเข้าไปทำให้ระบบย่อยอาหารของนกทำงานผิดปกติ และที่สำคัญ นกแก้วไม่ใช่สัตว์ที่อยู่ในตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่จะสามารถย่อยน้ำตาลเหล่านี้ได้ดีด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรให้นกแก้วกินนมวัวนะ3. Cerelac    อาหารเสริมธัญพืชของเด็กทารกที่เราชอบแอบกินตอนโตอย่างซีรีแล็ค ซึ่งเวลาที่ผสมแล้วจะมีลักษณะเหมือนกับอาหารของลูกป้อน ที่ยังมีบางคนคิดว่าสามารถนำให้นกกินได้ แต่ในความเป็นจริง ซีรีแล็คมีส่วนผสมของนมวัวที่มี Lactose อยู่เช่นกัน จึงเป็นสิ่งที่นกไม่สามารถย่อยได้นั่นเอง4. Snack    สำหรับคนที่สงสารนก อยากให้ได้กินขนมอร่อย ๆ เหมือนที่เรากินแล้วล่ะก็ คุณกำลังให้สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายของนกอยู่นะ เพราะในขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ มีปริมาณเกลือและโซเดียมที่สูงมาก ถ้านกได้รับในปริมาณที่มากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และยังทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ไตวาย ไตล้มเหลว และอาจทำให้นกเสียชีวิตได้5. Caffeine    อะไรก็ตามที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ฯลฯ เป็นสิ่งที่อันตรายต่อนกเป็นอย่างมาก เพราะคาเฟอีนจะทำให้หัวใจของนกมีการเต้นที่ผิดปกติ และอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น 6. Mushroom    เห็ดถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของเชื้อรา การกินเห็ดทั้งหัวและลำต้น จะทำให้นกเกิดการแพ้ ท้องเสียปั่นป่วน เห็ดบางชนิดสามารถทำให้การทำงานของตับล้มเหลวได้7. Apple Seeds    ใครจะไปรู้ว่าแอปเปิ้ลที่แสนอร่อยจะมีพิษได้นะ แต่พิษของแอปเปิ้ลนั้นจะอยู่ที่เมล็ด ซึ่งจะมีสาร Cyanide ซึ่งเป็นอันตรายหากกินไปในปริมาณมากเกินไป ไม่ว่ากับนกหรือคน8. Tomato    ส่วนที่เป็นอันตรายกับนกมากที่สุดของมะเขือเทศคือ ส่วนที่เป็นสีเขียวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ต้น กิ่ง ก้านใบ เพราะจะมีสารที่เป็นพิษอยู่มาก ทุกครั้งที่จะนำมะเขือเทศให้นกกิน ควรที่จะนำส่วนที่เป็นสีเขียวออกให้หมดก่อนจะดีกว่านะ

“ปัญหาสุขภาพผิวหนังที่ไม่ควรมองข้ามในสุนัขและแมว”By สพ.ญ. ปุณย์ชรัสมิ์ อนุโลมสมบัติ        เรื่องของผิวหนังมักเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ๆ ในสุนัขและแมว หลาย ๆ คนมักจะมองข้าม เพราะคิดว่าเป็นปัญหาเล็กน้อย อาการคันหรือเกาคงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่อาการเล็กๆ เหล่านี้ ถ้าไม่รีบหาสาเหตุและวิธีป้องกันให้ทัน อาจเกิดโรคผิวหนังที่รุนแรงตามมาได้ วันนี้ Pet Hipster จึงเชิญคุณหมอมาไขข้อสงสัยพร้อมแนะนำวิธีป้องกัน เพื่อสุขภาพผิวหนังและขนที่ดีของน้อง ๆปัญหาสุขภาพผิวหนังที่พบเจอบ่อย ๆ คืออะไร      ที่เจอบ่อย คือเรื่องขนร่วง มีอาการคัน ในสุนัขจะเจอติดปรสิตภายนอก พวกกลุ่มเห็บหรือไรขี้เรื้อน แต่ถ้าเป็นแมวจะเจอพวกโรคเชื้อราค่อนข้างเยอะ ส่วนเรื่องที่ว่าพบปัญหาผิวหนังในสุนัขหรือแมวมากกว่ากัน จริง ๆ คือพบได้เท่า ๆ กัน แต่เจอในกลุ่มขนยาวมากกว่าขนสั้น อาจเป็นเพราะว่าเจ้าของไม่เห็นรอยโรค จะมาเจออีกทีตอนที่อาบน้ำหรือว่ามาหาคุณหมอมากกว่าปัญหาขนร่วง ขนพันกัน สาเหตุเกิดจากอะไร     ขนร่วงเกิดได้หลายสาเหตุ อันดับแรกต้องแยกก่อนว่าขนร่วงนั้นไม่ได้เกิดจากการผลัดขนที่เป็นธรรมชาติ ถ้าเป็นเรื่องการติดเชื้อ อาจเกิดจากปรสิตภายนอก ติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ส่วนเรื่องขนพันกันอาจเกิดจากเจ้าของไม่มีเวลาแปรงขนให้ ทำให้ขนพันกันได้อาการคัน กลิ่นตัวของสุนัขและแมว เกิดจากอะไร     อาการคันเกิดจากผิวหนังที่มีความผิดปกติหรือความไม่สมดุลเกิดขึ้น อาจติดรอยโรคต่าง ๆ จากพวกปรสิต หรือถ้าไม่ได้อาบน้ำก็อาจเกิดอาการคันได้ ซึ่งสาเหตุทั้งหมดทำให้เกิดกลิ่นตัวตามมาการอาบน้ำสุนัขและแมวด้วยแชมพูของคน มีผลต่อสุขภาพผิวหนังหรือไม่     ส่งผลได้ เพราะแชมพูของคนเน้นขจัดไขมันที่เกาะบนเส้นขน หากใช้กับสุนัขและแมวจะทำให้ไขมันที่เคลือบบนผิวหนังหลุดออกไป ทำให้ผิวแห้ง เป็นขุย อีกเรื่องหนึ่งคือกรดด่างของชั้นผิวหนังไม่เท่ากัน ในคนจะมีค่า PH อยู่ที่ 5.5 - 5.6 แต่ในสุนัขและแมวจะอยู่ที่ 6.5 - 7.5 ถ้าใช้แชมพูที่ค่ากรดด่างไม่เท่ากัน อาจทำให้เสียสมดุลของชั้นผิวหนังและเกิดรอยโรคตามมา ติดเชื้อได้ง่ายขึ้นวิธีป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวไป     อย่างแรกคือเรื่องของการทำความสะอาด สุนัขและแมวต้องการ การอาบน้ำชำระสิ่งสกปรก อย่างที่สองควรมีการป้องกันปรสิตภายนอก ป้องกันเห็บหมัด ปัจจุบันมีหลากหลายยี่ห้อมาก อย่างที่สามคืออย่ารอให้เกิดรอยโรคขนาดใหญ่ ถ้าเจอสิ่งผิดปกติให้พาไปพบสัตวแพทย์เลย ยิ่งรักษาเร็วยิ่งหายเร็วในการอาบน้ำสุนัขและแมวส่งผลต่อผิวหนังอย่างไรบ้าง     ปัจจุบันแชมพูอาบน้ำสุนัขและแมวมีให้เลือกเยอะมาก เจ้าของควรเลือกให้เหมาะกับช่วงอายุ เช่น สุนัขอายุน้อย ๆ ผิวหนังจะบอบบางกว่าสุนัขโตอยู่แล้ว แชมพูที่เลือกใช้ก็ควรเหมาะกับช่วงอายุนั้น ๆ หรืออย่างแชมพูอาบน้ำที่เหมาะกับขนสั้น ขนยาว ก็มีให้เลือกหลากหลาย การอาบน้ำจะช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อยู่บนผิวหนังออกไป บางยี่ห้อจะมีสารบำรุงต่าง ๆ ช่วยลดอาการคันหรือบำรุงเส้นขนด้วยปกติสุนัขและแมว สามารถรับกลิ่นแชมพูอาบน้ำได้หรือไม่     สุนัขและแมวสามารถรับกลิ่นได้ดีกว่าคนมาก ดังนั้นกลิ่นแชมพูสามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว ถ้าเจ้าของเลือกกลิ่นแชมพูที่มันแรงมาก ๆ อาจทำให้เค้ารู้สึกไม่สบายตัว จะมีอาการฟุดฟิดทั้งวัน หรือเอาตัวไปถูพื้นได้เจ้าของควรเลือกแชมพูอาบน้ำแบบไหนให้สัตว์เลี้ยงของตัวเอง     อย่างแรกควรเลือกแชมพูตามช่วงอายุและพันธ์ุของน้อง ๆ ก่อนว่าเป็นแบบไหน จากนั้นลองอาบน้ำดู ถ้าเค้ารู้สึกสบายตัวและชอบ ก็สามารถใช้แชมพูนั้นต่อไปได้ แต่ในปัจจุบันมีแชมพูที่ใส่น้ำหอมและสารปรุงแต่งค่อนข้างเยอะ การเลือกกลุ่มแชมพูที่ทำจากธรรมชาติอาจจะปลอดภัยกับพวกเค้ามากกว่าคุณหมอมีคำแนะนำในเรื่องการอาบน้ำอย่างไรบ้าง     จริง ๆ ไม่ได้มีกฏการอาบน้ำที่ตายตัว อาจจะต้องดู activity ของเค้าว่าเป็นแบบไหน เช่น สุนัขที่ชอบวิ่งในสนามหญ้า ออกบ้านบ่อยๆ ก็อาจจะอาบน้ำ 1 - 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือตัวที่อยู่ในบ้าน อาจจะเป็น 1 - 2 ครั้งต่อเดือน ถ้าเป็นแมว ปกติจะไม่ค่อยสกปรกอยู่แล้วเพราะอยู่ในบ้านบวกกับทำความสะอาดตัวเองด้วย อาจจะสัก 1 - 3 เดือนค่อยอาบน้ำสัก 1 ครั้ง แล้วก็อย่าลืมว่าหลังจากอาบน้ำแล้ว ควรเช็ดตัวหรือเป่าให้แห้ง โดยเฉพาะตัวที่มีขนยาวและหนา ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดความอับชื้นและติดเชื้อต่าง ๆ ตามมาได้ รวมถึงอย่าลืมแปรงขนให้ด้วยได้ไขข้อสงสัยหลายเรื่องเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพผิวหนัง พร้อมกันนั้นยังได้รับคำแนะนำดี ๆ ไปปรับใช้แบบนี้ ชาว Pet Hipster ที่มีสัตว์เลี้ยงที่บ้าน อย่าลืมที่จะเลือกซื้อแชมพูอาบน้ำที่เหมาะกับเค้า หมั่นอาบน้ำทำความสะอาดและตรวจสอบสภาพผิวหนังและขนบ่อย ๆ ด้วยนะ